
จาก “แนวคิด” สู่ “การเปลี่ยนแปลง” : บทบาทในการส่งเสริมเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อม
นี่คือสิ่งที่ดิฉันเชื่อมาตลอด และเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางสายงานพัฒนาเด็กและเยาวชน ในฐานะผู้จัดการโปรแกรมงานวิชาการด้านการพัฒนาเด็กและเยาวชน มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เด็กและเยาวชนควรได้รับพื้นที่ในการเรียนรู้ แสดงออก และมีส่วนร่วมในการสร้างการเปลี่ยนแปลง เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ควรเริ่มตั้งแต่ในห้องเรียน ในชุมชน หรือแม้แต่ในความคิดของเด็ก ๆ ที่มีคนคอยรับฟังและส่งเสริมพวกเขา
แรงบันดาลใจจากความเหลื่อมล้ำสู่ความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลง
ดิฉันเติบโตในต่างจังหวัด เป็นเด็กที่มักตั้งคำถามกับความไม่เท่าเทียมรอบตัว โดยเฉพาะเมื่อเห็นเพื่อนบางคนในห้องเรียนไม่ได้รับโอกาสเหมือนคนอื่น ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้?” และ “จะทำยังไงให้ทุกคนเท่าเทียมกันได้?”
เมื่อเรียนพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดิฉันได้สัมผัสช่วงเวลาที่ยากลำบากของผู้คน ทั้งความเจ็บป่วย การสูญเสีย และความเปราะบางของครอบครัว โดยเฉพาะตอนที่ได้คลุกคลีกับเด็กกำพร้าที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสภูมิคุ้มกันบกพร่องในมนุษย์ หรือ HIV ในยุคที่ยาต้านยังเข้าถึงยาก จึงได้เรียนรู้ว่า เด็กที่มีแผลทางใจเจ็บไม่แพ้กับแผลทางกาย นั่นคือ “ความเปราะบางที่ได้รับโดยที่พวกเขาเลือกไม่ได้”
ด้วยความเชื่อนั้น ดิฉันจึงศึกษาต่อระดับปริญญาโท คณะศึกษาศาสตร์ และได้เรียนรู้มิติการพัฒนาอย่างลึกซึ้ง มีโอกาสได้ไปพื้นที่ห่างไกล เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่ซ่อนอยู่และตระหนักว่า “ความยากจน” ไม่ใช่แค่ขาดเงิน แต่คือการไม่มีโอกาส ไม่มีเสียง และไม่มีทางเลือก
กระทั่งได้เข้ามาทำงานกับมูลนิธิศุภนิมิตฯ ดิฉันมีความฝันที่ชัดเจนขึ้น—อยากเห็นเด็กทุกคน ได้เติบโตเต็มศักยภาพ และไม่ต้องยอมจำนนต่อความไม่ยุติธรรม
การพัฒนาเยาวชนด้านสิ่งแวดล้อมและกลไกสภาเยาวชนของมูลนิธิศุภนิมิตฯ
ดิฉันมีบทบาทในด้านการออกแบบรูปแบบโครงการพัฒนาชีวิตเยาวชน Youth Development (Youth+) ร่วมกับทีมวิชาการของมูลนิธิศุภนิมิตฯ เราเริ่มจากคำถามของเด็กและเยาวชน โดยการเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้คิด ตั้งคำถาม วางแผน ลงมือทำ และสะท้อนสิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์จริง โดยเฉพาะในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจุบัน เรามีกลุ่มผู้นำเยาวชนมากกว่า 40 กลุ่มทั่วประเทศ เด็ก ๆ เหล่านี้ได้ริเริ่มดำเนินโครงการของตัวเองเพื่อแก้ไขปัญหาและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในชุมชน โดยมีผู้ใหญ่ในชุมชนเป็นพี่เลี้ยง และภาคีเครือข่ายคอยอยู่เคียงข้างและเป็นแรงหนุนให้พวกเขาเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง
ขณะเดียวกัน เราอยากให้ผลงานของเด็กและเยาวชนมีความหมายจริง ๆ จนเป็นที่มาของ ‘สภาเด็กและเยาวชนมูลนิธิศุภนิมิต’ ซึ่งเราสร้างขึ้นเพื่อให้เยาวชนมีเวทีในการตัดสินใจ แสดงความคิดเห็น และเสนอแนวทางในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาเอง
ตอนนี้ใน 42 จังหวัดที่เราทำงาน (ข้อมูลเมื่อ 12 ธันวาคม 2567) เด็ก ๆ เริ่มจากการรวมตัวกันใน Youth Club ระดับชุมชน และค่อย ๆ เติบโตขึ้นสู่เวทีที่ใหญ่ขึ้น เช่น สมัชชาเยาวชนระดับตำบล การประชุมร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น หรือแม้กระทั่งการพูดในเวทีนโยบายระดับชาติและนานาชาติ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ นางสาวศศิกานต์ หรือ “อุ้ม” คณะกรรมการสภาเด็กและเยาวชนมูลนิธิศุภนิมิตฯ ที่ได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติในฐานะผู้ชนะรางวัล Young Advocate Award จากงาน Global Advocacy Summit 2025 ที่จัดโดย ศุภนิมิตสากล (World Vision) และนายศาศวัต หรือ “มิ่ง” เยาวชนจากจังหวัดสุรินทร์ และหนึ่งในกรรมการสภาเด็กและเยาวชนมูลนิธิศุภนิมิตฯ ก็ได้รับโอกาสสำคัญในการเป็นตัวแทนเยาวชนไทยร่วมเวทีระดับภูมิภาค “2025 Regional Children’s Consultation for the 2nd ASEAN Plan of Action on the Elimination of Violence Against Children (RPA-EVAC)” ซึ่งจัดขึ้น ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย
การเติบโตของผู้นำเยาวชนผ่านกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมเชิงพัฒนา
จากประสบการณ์ทำงานกับมูลนิธิศุภนิมิตฯ กว่า 15 ปี ดิฉันได้เห็นว่า ‘โอกาส’ สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้จริง ยกตัวอย่างโครงการ Trash2Cash ที่แปรรูปขยะให้เป็นของใช้ สร้างรายได้และความภาคภูมิใจให้เด็ก ๆ หลายกลุ่มได้รับรางวัลระดับประเทศและภูมิภาค สะท้อนศักยภาพของเยาวชนที่หากได้รับโอกาส ก็สามารถเติบโตได้อย่างน่าทึ่ง
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือ นายลาหู่หรือ “จอห์น” เยาวชนจากเชียงใหม่ เด็กขี้อาย ที่เติบโตเป็นผู้นำ เป็นพี่เลี้ยง และเป็นตัวแทนในเวทีระดับสากล เขาเคยกล่าวว่า “โอกาสทางการศึกษาที่มูลนิธิมอบให้ ไม่ได้ให้แค่ผม แต่เป็นโอกาสของทั้งครอบครัวและหมู่บ้านของผม” ซึ่งเป็นคำยืนยันว่าโอกาสเพียงหนึ่งครั้ง อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งชุมชนได้
ความท้าทายและวิสัยทัศน์การพัฒนาเยาวชนศุภนิมิตเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
หนึ่งในความท้าทายสำคัญของการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืน คือข้อจำกัดด้านวัย ภูมิหลัง และประสบการณ์ของเด็ก ซึ่งทำให้ไม่สามารถมอบหมายความรับผิดชอบทั้งหมดแก่เด็กและเยาวชนได้โดยลำพัง การมีผู้ใหญ่และองค์กรอยู่เคียงข้างในบทบาทสนับสนุนและคุ้มครองตลอดกระบวนการจึงเป็นสิ่งจำเป็น มูลนิธิศุภนิมิตฯ เอง ได้จัดตั้งมาตรการคุ้มครองเด็กอย่างเข้มงวด
ในระดับภาคีความร่วมมือ การทำงานกับภาครัฐหรือองค์กรภายนอกยังเผชิญข้อจำกัดจากการขาดแผนงานร่วมที่ชัดเจน ทั้งในด้านบทบาท หน้าที่ และเป้าหมาย การมีแผนปฏิบัติที่ระบุรายละเอียดอย่างเป็นรูปธรรมและข้อตกลงที่ชัดเจนระหว่างองค์กรจึงเป็นปัจจัยสำคัญ
ดิฉันทำงานกับเยาวชนมานาน และเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในตัวเอง ดิฉันอยากเห็นพวกเขาเติบโตตามทางของตัวเอง มีทักษะ มีความมั่นใจ และมีพลังในการขับเคลื่อนสังคมจากชุมชนของเขาเอง นอกจากภาวะผู้นำ ดิฉันยังอยากเห็นเด็กมีทักษะวิชาชีพ เพื่อจะอยู่ในสังคมได้อย่างมั่นคงและมีศักดิ์ศรี
สุดท้ายนี้ดิฉันอยากฝากไว้ว่า เด็กและเยาวชนคือหัวใจสำคัญของการพัฒนา การพัฒนาเด็กไม่ใช่แค่ให้โอกาสนะคะ แต่ต้องสร้างบทบาท สร้างเวที ให้เขาได้ลงมือทำ