ในพื้นที่ดำเนินงานโครงการพัฒนาฯ จ.นครศรีธรรมราช ชุมชนริมทะเลแห่งนี้ล้วนเผชิญกับภัยธรรมชาติมาหลายต่อหลายปี ทั้งน้ำทะเลหนุน อุทกภัย ภัยแล้ง จนกระทั่ง ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยและสภากาชาด ผนวกกับแรงขับเคลื่อนของคนในชุมชนที่อยากบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยพิบัติ พลังแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ชุมชนเล็ก ๆ กลายเป็นชุมชนต้นแบบที่ได้รับการยอมรับในระดับประเทศ
ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง “พื้นที่ของเราประสบกับภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลหนุน อุทกภัยทุกปี เราเผชิญมาตลอด” นายประจักร์ แขดวง ผู้ใหญ่บ้านเล่า “เมื่อมูลนิธิศุภนิมิตฯ เข้ามาทำงานในพื้นที่ เล็งเห็นถึงความไม่ปลอดภัยของเด็ก ๆ ในการเดินทางไปกลับโรงเรียน เพราะเราอยู่ชายทะเล ทำให้เด็ก ๆ มีความเสี่ยงในการใช้ชีวิตจากภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น”
มูลนิธิศุภนิมิตฯ เข้ามาเป็นทีมนำร่องครั้งแรกในการจัดอบรมให้ความรู้ ต่อมา สถานีกาชาดสิรินธร สภากาชาดไทย ได้เข้ามาอบรมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปีเต็ม ผลักดันให้ชุมชนเข้มแข็งและตั้งรับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีคณะกรรมการชุมชนจัดการภัยพิบัติประกอบด้วย 5 ฝ่าย ครอบคลุมทุกมิติของการรับมือภัยพิบัติ
- ฝ่ายอำนวยการ: ดูแลสั่งการ ควบคุมฝ่ายต่าง ๆ ประสานงานกับหน่วยงานภายนอกและภายใน
- ฝ่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย: ติดตามการพยากรณ์อากาศจากกรมอุตุฯ และสังเกตสภาพพื้นที่จริง
- ฝ่ายรักษาความปลอดภัย: ดูแลความปลอดภัยของชาวบ้าน และการเคลื่อนย้ายประชาชนขณะเกิดภัย
- ฝ่ายอพยพและสงเคราะห์ผู้ประสบภัย: อพยพชาวบ้านมายังจุดรวมพล และดูแลเรื่องอาหารการกิน
- ฝ่ายปฐมพยาบาลและกู้ภัย: ดูแลผู้เจ็บป่วย และผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน
คณะกรรมการทั้ง 50 คนมาจากชาวบ้านในชุมชนล้วน ๆ ถูกคัดเลือกจากแต่ละคุ้มบ้าน 6 คุ้ม ประกอบด้วยภาคีเครือข่าย องค์การบริหารส่วนตำบลฯ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลฯ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล ครู หมอ พยาบาล โดยมีมูลนิธิศุภนิมิตฯ และสภากาชาด เป็นพี่เลี้ยงให้คำแนะนำ
น้ำทะเลหนุนจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เราจะรู้ได้อย่างไร ผู้ใหญ่ประจักร์ อธิบายเพิ่มเติมว่า “ด้วยเรามีพื้นที่ติดกับป่าชายเลนที่เชื่อมกับทะเล ภูมิปัญญาชาวบ้านเรารู้จักข้างขึ้นข้างแรม ขึ้น 14 ค่ำ จนถึงแรม 5 ค่ำ น้ำทะเลจะหนุนสูง ตอนหนุนสูงจะท่วมประมาณ 2 ชั่วโมง และค่อย ๆ ลดลงในอีก 5 ชั่วโมง แต่สร้างความเสียหายหนักมากในช่วงเวลาสั้น ๆ ทั้งบ้านเรือน น้ำกิน น้ำใช้ต่าง ๆ “ ด้วยการผสมผสานความรู้สมัยใหม่จากการพยากรณ์อากาศกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำให้ชุมชนสามารถเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างทันท่วงที
ความรู้ที่ได้รับจากการอบรมไม่ใช่เพียงช่วยให้คนในชุมชนตั้งรับและจัดการภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที แต่ยังนำมาใช้กับเหตุการณ์ที่อาจคาดไม่ถึงที่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง “เมื่อเดือนที่แล้ว ผมได้นำความรู้จากการอบรม CPR ไปช่วยชีวิตคน” ผู้ใหญ่ประจักร์ เล่าด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ผมไปสวนส้มโอ ได้รับแจ้งว่ามีคนเป็นลม เขาหมดสติ ผมได้ทำ CPR และโทรประสาน 1669 ผมปั๊มหัวใจอยู่คนเดียวจนกู้ชีพมาได้ แม้สุดท้ายผู้ป่วยจะเสียชีวิตหลังจากอยู่โรงพยาบาล 3 วัน แต่กู้ชีพบอกผมว่าถ้าผมไม่ได้ปั๊มหัวใจให้ เขาอาจะเสียชีวิตตั้งแต่วันนั้นเลย”
อีกเรื่องประทับใจมาจาก นางสาวจารุณี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เล่าเสริมว่า “ช่วงน้ำทะเลหนุน พี่ได้เข้าไปช่วยเรื่องการเบิกยาประจำตัวคนป่วยในชุมชน เพราะตอนนั้นเขาออกมาไม่ได้ รู้สึกภาคภูมิใจมากค่ะที่ได้ช่วยผู้สูงอายุกลุ่มเปราะบางทั้ง 8 คนที่ติดเตียง”
ชุมชนแห่งนี้ไม่เพียงสามารถดูแลตนเองได้ แต่ยังกลายเป็นโมเดลต้นแบบให้กับชุมชนอื่น ๆ “เรามีเจ้าหน้าที่จากสถานีกาชาดทั่วประเทศมาดูงาน มารับฟังการนำเสนอวิธีเตรียมความพร้อม และเยี่ยมชมพื้นที่จริง” ผู้ใหญ่ประจักร์ เล่า ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังได้ทำหน้าที่เป็นวิทยากรพี่เลี้ยงร่วมกับมูลนิธิศุภนิมิตฯ ในการจัดอบรมให้ความรู้กับหมู่บ้านใกล้เคียงและนักเรียนในชุมชนอีกด้วย
“การพัฒนาต้องเริ่มที่ตัวเราก่อนเสมอ” ผู้ใหญ่ประจักร์ ทิ้งท้าย “ถ้าเราเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างให้เขาเห็นว่าเราทำจริงจัง การดึงชาวบ้านมาร่วมด้วยไม่ยากเลย แต่ถ้าเราให้แต่ชาวบ้านทำ แบบนี้ยาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวผู้นำ ต้องเป็นผู้นำจริง ๆ ผู้ตามก็จะเชื่อมั่นในผู้นำ”
ปัจจุบัน คณะกรรมการจัดการภัยพิบัติชุมชนได้พัฒนาบทบาทมาเป็นพี่เลี้ยงให้กับหมู่บ้านใกล้เคียง ร่วมกับมูลนิธิศุภนิมิตฯ ในการจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติ จนได้รับการยอมรับให้เป็นชุมชนต้นแบบ มีเจ้าหน้าที่จากสถานีกาชาดทั่วประเทศและนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์มาศึกษาดูงาน ความสำเร็จนี้เกิดจากการทำงานที่อาศัยความจริงใจ ความทุ่มเท และการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกคนในชุมชน จากชุมชนที่เคยเผชิญภัยธรรมชาติอย่างโดดเดี่ยว สู่การเป็นต้นแบบการจัดการภัยพิบัติที่เข้มแข็ง