ลดการตีตรา ขจัดอุปสรรค สร้างความเท่าเทียม

มูลนิธิศุภนิมิตฯ จัดประชุมถอดบทเรียนการขจัดอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและเพศภาวะเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการสุขภาพด้านวัณโรคและเอชไอวีอย่างเท่าเทียมสำหรับกลุ่มประชากรข้ามชาติ

การตีตราและการเลือกปฏิบัติ อุปสรรคสำคัญในการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ยังคงอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องของโรคเอดส์/เอชไอวีและวัณโรคในทุกกลุ่มประชากร ซึ่งทำให้ผู้คนลังเล ไม่กล้าหรือไม่สามารถเข้ารับการรักษาที่จำเป็นได้ทันท่วงที ความล่าช้าต่อการเข้าสู่การวินิจฉัยและกระบวนการรักษา ย่อมเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค ดังนั้น การตีตราทางสังคมและการตีตราภายใน (self-stigma) ด้านเอชไอวีและวัณโรคของกลุ่มประชากรหลักที่มีอัตราสูงมาก ยังเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และเพื่อเป้าหมายการพัฒนาสุขภาพจิตของผู้รับบริการ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการแก้ไขทัศนคติของสังคมเพื่อให้เกิดการยอมรับและเข้าใจในสิทธิของผู้ป่วย รวมถึงการส่งเสริมให้ทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและไม่ถูกเลือกปฏิบัติจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น สถานะทางสังคม เพศ ศาสนา หรือสัญชาติ เป็นต้น

จากรายงานดัชนีการตีตราผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีในประเทศไทย 2.0 (ปี 2565-2566) พบว่า 5% ของผู้ร่วมให้ข้อมูลเคยประสบกับการตีตราในชุมชน โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานบริการ ผู้ใช้สารเสพติด และบุคคลข้ามเพศ ซึ่งการถูกตีตรามีผลต่อการหยุดการรักษาด้วยยาต้านไวรัส โดยกลุ่มที่เคยถูกตีตรามีแนวโน้มหยุดการรักษาสูงกว่าผู้ที่ไม่เคยประสบกับการตีตราอย่างมาก การตีตรายังส่งผลให้เยาวชนที่มีเชื้อเอชไอวี ต้องเผชิญกับการขับไล่จากที่พัก หรือการเลื่อนการเข้าเรียน นับเป็นอุปสรรคสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันและการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ที่จำเป็น

ขณะเดียวกัน ผลการศึกษาจากรายงาน HRG Rapid Assessment  พบว่า  มีประชากรข้ามชาติถูกไล่ออกจากงานเนื่องจากป่วยเป็นวัณโรค นักเรียนถูกขับออกจากโรงเรียน และประชากรข้ามชาติหลายคนต้องเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ ไม่ว่าจะความแตกต่างด้านภาษา หรือการเลือกปฏิบัติจากผู้ให้บริการด้านสุขภาพ ล้วนส่งผลให้พวกเขาไม่กล้าหรือไม่สามารถเข้ารับการรักษาเมื่อเจ็บป่วยได้

จากการดำเนินงานที่ผ่านมาของมูลนิธิศุภนิมิตฯ และภาคีเครือข่าย ยังคงพบว่า การทำงานในระดับพื้นที่ยังไม่มีการนำนโยบายการคุ้มครองสิทธิในระดับชาติมาปฏิบัติ เช่น สิทธิด้านสุขภาพอนามัย การจ้างงาน และการศึกษา เป็นต้น และยังขาดกลไกการบังคับใช้ ซึ่งหากในทุกบริบทสามารถมีการบังคับใช้และคุ้มครองสิทธิทางกฎหมายผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น ร่างพระราชบัญญัติต่อต้านการเลือกปฏิบัติในทุกรูปแบบที่ได้เสนอขึ้นมา จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง รวมถึงการเข้าถึงสิทธิพื้นฐานอื่น ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะความตระหนักในความยุติธรรมทางสุขภาพ

ด้วยเหตุนี้ ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มูลนิธิศุภนิมิตฯ ผู้รับทุนหลักจากกองทุนโลกภายใต้โครงการยุติปัญหาวัณโรคและเอดส์ด้วยชุดบริการ RRTTPR ปี 2567-2569 ได้จัดประชุมถอดบทเรียนการลดอุปสรรคที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนและเพศภาวะต่อการเข้าถึงบริการด้านวัณโรคและเอชไอวีสำหรับกลุ่มประชากรหลัก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทบทวนการดำเนินงานที่ผ่านมา และพัฒนากลยุทธ์การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนและเพศภาวะ (Human Rights and Gender – HRG) เพื่อสนับสนุนแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติในการยุติปัญหาเอดส์ ปี 2560-2573 และแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านการต่อต้านวัณโรค ระยะที่ 2 (ปี 2566-2570) โดยมุ่งเน้นการเชื่อมโยงกับการลดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพและการขจัดการตีตราและการเลือกปฏิบัติในทุกมิติ ทั้งในระดับนโยบายและระดับพื้นที่ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเข้าถึงการวินิจฉัยโรคและรักษาอย่างเท่าเทียม

ในการประชุมครั้งนี้ มีภาคีเครือข่ายด้านสิทธิมนุษยชนและเพศภาวะ ได้แก่ มูลนิธิรักษ์ไทย มูลนิธิดรีมลอปเม้นท์ มูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ และคณะกรรมการกลไกความร่วมมือในประเทศ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ รวมถึงแผนการดำเนินงานที่มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มประชากรข้ามชาติ โดยเฉพาะในด้านการเข้าถึงบริการด้านวัณโรคและเอชไอวี/เอดส์

ข้อเสนอหลักจากผลการดำเนินงานปี 2567 คือ การบูรณาการงานด้านสิทธิมนุษยชนและเพศภาวะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการทังในองค์กรชุมชนและสถานให้บริการของภาครัฐ ซึ่งรวมทั้งมาตรการลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติให้เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของ RRTTPR (Reach – Recruit – Test – Treat – Prevention – Retain) นอกจากนี้ ควรมีการปฏิรูปกฎหมายอาญาเกี่ยวกับการลดอันตรายจากการใช้ยาเสพติด และการรับรองอาชีพพนักงานบริการให้ถูกกฎหมาย รวมถึงนโยบายต่าง ๆ ที่ส่งผลเสียต่อการทำงานเพื่อช่วยลดภาระให้องค์กรชุมชนในพื้นที่ และชุมชนควรได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายเพื่อให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมผ่านการบังคับใช้กฎหมาย หากทำทุกอย่างนี้ครบถ้วน จะช่วยให้ผู้รับบริการทั้งผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวีและกลุ่มประชากรหลัก สามารถเข้าถึงการบริการที่ดี มีผลการรักษาที่เหมาะสม และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ ภายใต้การดำเนินงานโดยมูลนิธิศุภนิมิตฯ และภาคีเครือข่าย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างเป็นระบบในการขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียม เช่น

  • โครงการ M-FUND ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิดรีมลอปเม้นท์ มีบทบาทสำคัญในการขยายหลักประกันสุขภาพให้แก่ประชากรข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ในปี 2567 มีผู้ลงทะเบียนใหม่จำนวน 17,420 คน ส่งผลให้ยอดสะสมทั้งหมดอยู่ที่ 89,205 คน โดยในจำนวนนี้ 30,106 คน ได้รับบริการจากโรงพยาบาลคู่สัญญา
  • ด้านการตอบสนองภาวะวิกฤต ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย และมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ ทำงานเชิงนโยบายเรื่องการลดทอนความเป็นอาชญากรรมของพนักงานบริการ และมีการเสริมสร้างระบบเฝ้าระวัง (Watch Dog) ให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น โดยจัดตั้งกลไกชุมชนในกรุงเทพฯ และชลบุรี สามารถให้ความช่วยเหลือผู้ที่ถูกละเมิดสิทธิได้จำนวน 642 ราย ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ เช่น การละเมิดสิทธิด้านเอชไอวี วัณโรค การใช้สารเสพติด ความรุนแรงในครอบครัว และการเลือกปฏิบัติ
  • การจัดตั้งคณะทำงานศึกษาปัญหาและอุปสรรคด้านการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากวัณโรค สำหรับกลุ่มประชากรหลัก (TB Task Force related S&D) ซึ่งเป็นกลไกความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันการขจัดการตีตราและการเลือกปฏิบัติในการเข้าถึงบริการด้านวัณโรค ทำการประเมินผลการศึกษา TB O-9 S&D ในระดับชุบชนที่กำลังศึกษาข้อมูลเชิงลึกที่นำไปสู่การปรับปรุงนโยบายและแนวทางปฏิบัติระดับชาติ
  • การจัดทำแผนปฏิบัติการต้นทุนแห่งชาติของ TB-CRG (Costed Action Plan) เพื่อให้แน่ใจว่ามีการจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสมในการลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติ
  • การประเมินตัวชี้วัดสำคัญเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการขยายขอบเขตของโครงการที่มุ่งขจัดอุปสรรคด้านสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งรายงานผลการดำเนินงานต่อกองทุนโลกอย่างต่อเนื่อง

การสนับสนุนสิทธิมนุษยชนของกลุ่มประชากรหลักเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการตีตราและการเลือกปฏิบัติไม่ได้เกิดจากความกลัวการติดเชื้อเอชไอวีหรือวัณโรคเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการตีตรากลุ่มประชากรหลักอีกด้วย การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการลดอุปสรรคและส่งเสริมความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการสุขภาพ เพื่อให้ทุกคนได้รับการดูแลที่เหมาะสมและมีสิทธิในการเข้าถึงบริการสุขภาพอย่างเท่าเทียมกัน

แม้จะมีความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนการขจัดการตีตราและการเลือกปฏิบัติต่อผู้ที่สงสัยว่าป่วยเป็นวัณโรคและผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี แต่ยังคงเผชิญข้อจำกัดและความท้าทายหลายประการ เช่น ความไม่ต่อเนื่องของโครงการ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ข้อจำกัดด้านการจัดเก็บข้อมูลเชิงนโยบาย ตลอดจนความตระหนักรู้และทัศนคติของสังคม ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการด้านวัณโรคและเอชไอวีสำหรับกลุ่มประชากรหลัก นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อการที่ประเทศไทยจะบรรลุเป้าหมายในการยุติปัญหาวัณโรคและเอดส์ภายในปี 2573 ได้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ป้ายกำกับ
Child Rights Climate Change CSR Migrant SDG กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอาชีพ การจัดการภัยพิบัติ การตีตราและเลือกปฏิบัติ การพัฒนาสถานศึกษา การมีส่วนร่วมของเด็ก กำจัดมาลาเรีย ความยั่งยืน ความยุติธรรมในสังคม (Social Justice) ความรับผิดชอบต่อสังคม ความรุนแรงต่อเด็ก ความเชื่อและการพัฒนา งานรณรงค์เพื่อเด็ก จิตอาสา ทักษะชีวิตเยาวชน ทักษะอาชีพเยาวชน นโยบายการพัฒนาเด็ก น้ำเพื่อชีวิต บริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน บริจาคทุนการศึกษา บริจาคเงิน ปกป้องคุ้มครองเด็ก ประชากรข้ามชาติ ผู้นำเยาวชน พัฒนาชุมชน ภัยพิบัติ ยุติวัณโรค/End TB ยุติเอดส์/Stop AIDS สังคมแห่งการแบ่งปัน สิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก ส่งน้องจบ ป-ตรี อดีตเด็กในความอุปการะ อ่านออกเขียนได้ เด็กข้ามชาติ เด็กยากไร้ เด็กไร้รัฐ เสียงเด็กและเยาวชน แรงงานข้ามชาติ/ประชากรข้ามชาติ แรงงานต่างชาติ

ข่าวอื่นๆ

ปักธงยุติการตีตรา ยุติวัณโรคและเอดส์ที่ จ.ระนอง

มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยผนึกกำลังกับภาครัฐ มุ่งหน้าเผชิญความท้าทายเพื่อยุติปัญหาวัณโรคและเอดส์ในกลุ่มประชากรหลักในจังหวัดระนอง
อ่านต่อ »

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า