“เรารู้จักมูลนิธิศุภนิมิตฯ จากพี่ที่ทำงานซึ่งเขาได้อุปการะเด็กมาก่อน ประจวบเหมาะกับเรามีความพร้อมที่จะให้ ก็เลยเริ่มต้นอุปการะเด็กเมื่อ 15 ปีที่แล้ว” คุณวรรณดาลักษณ์ ธนาเสรีสกุล คือหนึ่งในผู้อุปการะที่มอบโอกาสให้เด็กเปราะบางยากไร้ผ่าน ‘โครงการอุปการะเด็ก’ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เป็นระยะเวลานานกว่า 15 ปีแล้ว
“การให้ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนบอกว่าให้มาก บางคนบอกว่าให้น้อย แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะสำหรับน้องๆ ที่เปราะบางยากไร้ มันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากที่ต้องให้พวกเขาได้รับโอกาส โดยเฉพาะการศึกษาซึ่งสำคัญมากกับอนาคตของน้องๆ เพื่อที่จะก้าวต่อไปด้วยสิ่งที่ดี มีโอกาสชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่”
คุณวรรณดาลักษณ์ ให้ความอุปการะเด็กใน ‘โครงการอุปการะเด็ก’ ของมูลนิธิศุภนิมิตฯ 2 คน
คนแรก ได้รับการอุปการะจากคุณวรรณดาลักษณ์ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และให้การอุปการะอย่างต่อเนื่องซึ่งสามารถช่วยเหลือให้เขาได้รับโอกาสทางการศึกษาต่อเนื่อง จนปัจจุบันเขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี และกำลังเตรียมตัวเพื่อสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู
“เขาเคยบอกผ่านจดหมายที่ส่งมาถึงเราผ่านมูลนิธิศุภนิมิตฯ เมื่อ 15 ปีก่อนว่า ความฝันของเขาคือการเป็นคุณครู ซึ่งวันนี้เขาก็สามารถทำตามความฝันของเขาได้แล้ว”
หลังจากที่เด็กในความอุปการะคนแรกจบการศึกษา มีงานที่สามารถดูแลตนเองได้ คุณวรรณดาลักษณ์ ได้ให้ความอุปการะเด็กคนที่สองต่อ “ตั้งใจว่าจะสนับสนุนเด็กให้ถึงฝั่งฝันอีกต่อไปไม่มีหยุดค่ะ”
เมื่อถูกถามถึง ‘เหตุผล’ ในการให้ความสนับสนุน ‘โครงการอุปการะเด็ก’ อย่างยาวนาน และการให้นี้มีความหมายอย่างไรต่อเธอ คุณวรรณดาลักษณ์ ยิ้มก่อนจะตอบว่า สิ่งที่เธอทำไม่ใช่เพียงการให้ ตัวเธอเองก็เป็นฝ่ายที่ได้รับพลังใจดีๆ คืนกลับมาจากเด็กๆ ด้วยเช่นกัน
“แรกเริ่มเราตัดสินใจให้ความอุปการะเด็กด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และมองว่ามันเป็นหน้าที่ที่ควรทำในฐานะที่เราสามารถทำงานหารายได้ได้แล้ว โดยที่การแบ่งปันช่วยเหลือเด็กไม่เป็นการเบียดเบียนตัวเราเองด้วย แต่วันหนึ่งเรารู้สึกเหนื่อยล้าจากงาน มีบางอย่างดลใจให้เราหยิบจดหมายจากเด็กในความอุปการะที่เก็บไว้ขึ้นมาอ่าน ข้อความบอกเล่าผ่านลายมือที่ตั้งใจเขียนของเด็กที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน บอกให้เรารับรู้ว่าสิ่งต่างๆ ที่เรามอบให้เขาไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์การเรียน การสนับสนุนค่าเล่าเรียน และอีกหลายสิ่งที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้รับ เพราะเขาเกิดมาในสภาพแวดล้อมที่ไม่พร้อม ทำให้ชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่เคยขาดโอกาส ได้เข้าถึง ได้สมบูรณ์ขึ้น มีความหวัง และทำให้เขามีความกล้าฝันถึงอนาคตที่อยากเป็น วินาทีนั้นความรู้สึกเราเปลี่ยนไปเลย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสิ่งที่เราทำ ที่เรามองว่าเล็กน้อย จะเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดที่เปลี่ยนชีวิตใครบางคนได้แบบนี้ วันนี้น้องเป็นคุณครูตามที่เคยบอกในจดหมายเมื่อ 15 ปีก่อน ตอนนั้นเขาเพิ่ง ป.5 เอง เรายังไม่อยากเชื่อเลยว่าเรามีส่วนช่วยทำให้ฝันเขาในวันนั้นกลายเป็นจริง”
คุณวรรณดาลักษณ์ กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความภูมิใจ เธอยังเสริมว่ามีโอกาสได้แลกเปลี่ยนจดหมายอีกหลายครั้ง ซึ่งมันกลายเป็นสิ่งที่สร้างกำลังใจ ทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตมีความหมายขึ้นมาก เมื่อได้มอบพลังให้ใครสักคนแล้วพลังนั้นก็ส่งกลับมาผลักดันตัวเธอเช่นกัน และยิ่งทำให้อิ่มเอมใจเมื่อได้รู้ว่าในวันนี้เด็กคนที่รับพลังนั้นไปกำลังจะกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้เด็กรุ่นใหม่อีกหลายคนในฐานะคุณครู
ในฐานะผู้อุปการะ การได้เห็นความเติบโตและความสำเร็จของเด็ก โดยที่เรามีส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดความสำเร็จนั้น ทำให้เด็กเปราะบางยากไร้ได้เติบโตในโลกที่ดีกว่า ความสุข ความอิ่มเอมใจ ที่เกิดขึ้นจะเบ่งบานเป็นพลังใจของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ผู้ให้’ ฝังในใจโดยไม่มีทางลบเลือนไป เหมือนดังที่ คุณวรรณดาลักษณ์ ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ทุกครั้งที่เรามีวันที่ท้อแท้ จะนึกถึงเรื่องราวของการให้ที่เราได้ทำ และมันสามารถเปลี่ยนชีวิตของเด็กคนหนึ่งได้ แล้วสิ่งนี้ก็จะเป็นกำลังใจที่ผลักดันให้เรายิ้มและลุกขึ้นเดินหน้าต่อได้”
การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ