‘มะปราง วธัญญา’ ครูสอนภาษาไทยเด็กนักเรียนชาวเขาในถิ่นทุรกันดาร

ต้นกล้าจากโครงการอุปการะเด็ก สู่ฮีโร่ที่เป็นต้นแบบของเด็กๆ นักเรียนชาวเขาในถิ่นทุรกันดาร

หากจะเปรียบ ‘การอุปการะเด็ก’ สักคนให้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น คงเป็นเหมือนการดูแลกล้าพันธุ์ไม้ต้นเล็กๆ ที่ต้องคอยประคบประหงม รดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ให้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ แม้ต้องใช้เวลาแต่ไม่นานเกินรอก็ได้ชื่นชมดอกผลที่สวยงาม อย่างเช่น ‘ครูมะปราง วธัญญา’ อดีตเด็กในความอุปการะของมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ที่ได้รับการสนับสนุนดูแลมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3

จากเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ขี้อายในชุดนักเรียนมอมๆ สวมรองเท้าแตะ เดินมาโรงเรียนด้วยระยะทาง 2 กิโลเมตรทุกวัน กลายมาเป็นแม่พิมพ์ของชาติ ต้นแบบในการเรียนรู้ของเด็กๆ นักเรียนชาวเขาในถิ่นทุรกันดารอย่างทุกวันนี้

ครูมะปราง เล่าถึงตอนที่ได้เป็นเด็กในความอุปการะว่า “มันเป็นโอกาสที่ดีมากเลย จากเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีอะไร โครงการนี้ทำให้เรามีประสบการณ์มากขึ้น ทำให้เรากล้าพูด กล้าแสดงออก กล้าทำกิจกรรม ส่งเสริมทักษะต่างๆ ให้ได้มาเป็นครูอย่างทุกวันนี้ เราเคยเป็นผู้รับมาก่อน มาวันนี้เราได้เป็นผู้ให้แล้วรู้สึกภูมิใจตรงนี้”

เพราะเด็กยากไร้ต้องการเพียงโอกาสเพื่อให้เขาได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง ครูมะปรางเผยถึงแรงบันดาลใจที่อยากทำอาชีพครู เริ่มต้นมาจากเด็กๆ แถวบ้านที่จุดประกายให้เกิดเป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่ “เราเป็นคนชอบวิชาภาษาไทย เรารู้สึกว่ามันน่าจะเป็นประโยชน์ มีเด็กแถวบ้านที่เขามาให้เราสอนการบ้านแล้วรู้สึกชอบ เลยคิดว่าเราน่าจะไปเรียนครูได้ การที่เราเรียนครูมันสามารถพัฒนาเด็ก พัฒนาชุมชนไปเรื่อยๆ ได้ ถ้าเด็กมีความรู้ เขาก็จะดูแลตนเองได้ ดูแลครอบครัวได้”

ด้วยความมุ่งมั่นหลังจากเรียนจบ ครูมะปรางได้สอบบรรจุและมาสอนเด็กๆ นักเรียนชาวเขา ณ โรงเรียนใกล้บ้านเกิดเป็นเวลาร่วม 10 ปีแล้ว โดยมีเป้าหมายให้เด็กๆ ใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และสื่อสารเป็น “วิชาภาษาไทยส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องการอ่าน การเขียน เพราะว่าเด็กของเราส่วนใหญ่ยังพูดไม่ชัด ส่วนใหญ่คำพูดของเขาจะแปลภาษาไทยสลับคำ เราจะพยายามสอนให้เขาพูดอย่างชัดเจน ให้สื่อสารได้ สนับสนุนเรื่องสื่อการเรียนรู้ต่างๆ เสริม

การอุปการะเด็ก ไม่ใช่แค่เด็กคนหนึ่งที่ได้รับ แต่ขยายไปถึงเด็กรอบๆ ตัวเขา และทั้งชุมชนให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน “ในหมู่บ้านมีการส่งเสริมอาชีพด้านปศุสัตว์ให้ชาวบ้าน ทั้งเลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ แต่ก่อนเราต้องซื้อไข่กิน แต่พอมูลนิธิฯ เข้ามาสนับสนุนทำให้เราได้กินไข่สดใหม่ทุกวัน อาชีพเสริมตรงนี้มาสนับสนุนรายได้ของครอบครัว หลายๆ บ้านยังมีการเพาะเห็ด เลี้ยงไก่ เลี้ยงหมู อยู่ในปัจจุบัน”

ภาพของการเปลี่ยนแปลงฉายให้เห็นตั้งแต่มูลนิธิศุภนิมิตฯ เข้ามาดำเนินโครงการพัฒนาในชุมชน ส่งผลให้เด็ก ครอบครัว และชุมชนอยู่ดีมีสุขมากยิ่งขึ้น จากกล้าพันธุ์เล็กๆ ได้เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่พึ่งพาตนเองได้ พร้อมเป็นแบบอย่างและให้ร่มเงากับกล้าพันธุ์อื่นๆ ต่อไป “เพื่อนๆ หลายคน รุ่นพี่ ต่างก็เรียนจบได้ทำงานดูแลครอบครัว ชีวิตทั้งครอบครัวเขาดีขึ้น การศึกษามันเปลี่ยนชีวิตจริงๆ รวมถึงชุมชน ด้วยคนในชุมชนมีอาชีพเสริม มีรายได้มากขึ้น” ครูมะปราง กล่าวปิดท้ายด้วยรอยยิ้ม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ป้ายกำกับ
Child Rights Climate Change CSR Human Rights Migrant SDG กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มอาชีพ การจัดการภัยพิบัติ การตีตราและเลือกปฏิบัติ การพัฒนาสถานศึกษา การมีส่วนร่วมของเด็ก ความมั่นคงทางอาหาร ความยั่งยืน ความยุติธรรมในสังคม (Social Justice) ความรับผิดชอบต่อสังคม ความรุนแรงต่อเด็ก ความเชื่อและการพัฒนา งานรณรงค์เพื่อเด็ก จัดการภัยพิบัติ จิตอาสา ทักษะชีวิตเยาวชน ทักษะอาชีพเยาวชน นโยบายการพัฒนาเด็ก น้ำเพื่อชีวิต บริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน บริจาคทุนการศึกษา บริจาคเงิน ปกป้องคุ้มครองเด็ก ผู้นำเยาวชน ผู้หญิงและเด็ก พัฒนาชุมชน ยุติวัณโรค/End TB ยุติเอดส์/Stop AIDS สังคมแห่งการแบ่งปัน สิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก ส่งน้องจบ ป-ตรี อดีตเด็กในความอุปการะ อ่านออกเขียนได้ เด็กยากไร้ เสียงเด็กและเยาวชน แรงงานข้ามชาติ แรงงานข้ามชาติ/ประชากรข้ามชาติ แรงงานต่างชาติ

ข่าวอื่นๆ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า