“วันที่หนูได้มีตัวตนในสังคม มันคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในชีวิตหนูค่ะ” — อิงอิง, นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์
วารินทิพตร์ หรือ ‘อิงอิง’ นิสิตคณะพยาบาลศาสตร์ ชั้นปีที่ 2 อายุ 20 ปี คือหนึ่งในเยาวชนที่ได้รับโอกาสจาก ‘โครงการพัฒนาสถานะบุคคลและสิทธิสำหรับเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ’ โดยมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย
วันนี้เธอไม่เพียงได้รับสถานะทางกฎหมายที่เปลี่ยนชีวิตของตนเองเท่านั้น แต่ยังกลายเป็น ‘อาสาสมัคร’ เพื่อส่งต่อความหวังให้กับเด็กและเยาวชนคนอื่น ๆ ที่เผชิญชะตาเดียวกันในจังหวัดเชียงใหม่
ชีวิตที่เริ่มต้นโดยไร้ตัวตน
แม้จะเกิดและเติบโตในจังหวัดเชียงใหม่ แต่อิงอิงต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีสถานะทางกฎหมายมานานกว่า 19 ปี เธอเริ่มต้นการเรียนโดยไม่มีเอกสารยืนยันตัวตนใด ๆ แต่ด้วยความมุ่งมั่น และนโยบายของรัฐที่เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้เรียน เธอจึงสามารถเข้าเรียนได้
ช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 2 อิงอิงได้รับ ‘รหัส G’ ซึ่งช่วยให้เข้าถึงระบบการศึกษาได้สะดวกขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถใช้สิทธิพื้นฐานอื่น ๆ ที่เธอควรได้รับ เช่น การรักษาพยาบาล การเดินทาง การเปิดบัญชีธนาคาร หรือการขอทุนการศึกษา อุปสรรคเหล่านี้กลายเป็นกำแพงใหญ่ที่บดบังความฝันในการเป็นพยาบาลของเธอ
จาก ‘คำว่ารอก่อน’ สู่การลงมือเปลี่ยนแปลง
เมื่ออิงอิงอายุราว 15 ปี เธอเริ่มตระหนักถึงข้อจำกัดของสถานะทางกฎหมาย และพยายามหาคำตอบด้วยตัวเอง ทั้งจากครู หน่วยงานรัฐ และเครือข่ายในพื้นที่ แต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเพียง ‘ให้รอก่อน’ โดยไม่มีคำอธิบายว่าจะต้องรอนานเท่าไร
กระทั่งสอบติดคณะพยาบาลศาสตร์ ความฝันที่ใกล้ถึงกลับต้องสะดุด เพราะสถานะ ‘รหัส G’ ไม่สามารถใช้ลงทะเบียนเรียน หรือขอใบประกอบวิชาชีพได้ อิงอิงเริ่มติดต่อที่ว่าการอำเภอและหน่วยงานต่าง ๆ ด้วยความหวัง แม้ไม่เข้าใจกฎหมายหรือขั้นตอนทั้งหมด แต่เธอก็ไม่เคยถอดใจ
จุดเปลี่ยนแห่งชีวิต: เมื่อมีคน ‘เห็น’ และ ‘เชื่อในศักยภาพ’
เดือนมกราคม 2567 อิงอิงได้รู้จักกับเครือข่าย NGO ที่ทำงานด้านสถานะบุคคลในพื้นที่เชียงใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ทีมงานของมูลนิธิศุภนิมิตฯ เข้ามาให้คำปรึกษา แนะนำขั้นตอนทางกฎหมาย และช่วยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
“มูลนิธิศุภนิมิตช่วยหนูทุกขั้นตอนเลยค่ะ ตั้งแต่เอกสาร การให้ความรู้ ไปจนถึงการสนับสนุนให้หนูได้เรียนรู้และเติบโต หนูรู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ”
จากการเป็น ‘ผู้รับความช่วยเหลือ’ อิงอิงเริ่มมีความเข้าใจในกระบวนการมากขึ้น จนกลายเป็น ‘อาสาสมัคร’ ที่ร่วมลงพื้นที่กับทีมงาน เพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนคนอื่น ๆ ที่เผชิญปัญหาเดียวกัน
“หนูเคยเป็นเด็กที่ไม่มีสัญชาติ วันนี้หนูอยากเป็นอาสาเพื่อช่วยน้อง ๆ ที่ยังอยู่ระหว่างทาง เพราะหนูเคยได้รับโอกาส หนูก็อยากส่งต่อโอกาสนั้นให้คนอื่นเหมือนกันค่ะ”
ผลลัพธ์แห่งความพยายาม
“วันที่รู้ว่าคำร้องได้รับอนุมัติ หนูดีใจมากค่ะ มันเหมือนมีคนเปิดประตูให้หนูได้เดินต่อ ได้มีความหวัง ได้มีอนาคตที่ชัดเจนขึ้น”
หลังจากความพยายามกว่า 5 ปี ชื่อของอิงอิงก็ปรากฏอยู่ในประกาศมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 ตุลาคม 2567
เธอได้รับการพิจารณาให้มีสถานะทางกฎหมาย และได้รับ ‘บัตร 00’ หรือสถานะบุคคลไม่มีสัญชาติไทย
แม้บัตรนี้ยังไม่เทียบเท่าบัตรประชาชน แต่ก็เปิดประตูแห่งโอกาสใหม่ให้เธอได้อีกมาก เธอสามารถเดินทางได้สะดวกขึ้น เข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเปิดบัญชีธนาคารได้เป็นครั้งแรกในชีวิต
บัตรหนึ่งใบที่เปลี่ยนทั้งชีวิต
“บัตรเลขศูนย์ศูนย์ไม่ใช่แค่ตัวเลข 13 หลัก แต่มันคือสิทธิในการรักษาพยาบาล การเรียน และการมีตัวตนในสังคม
มันทำให้หนูมีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น”
การได้รับสถานะทางกฎหมายไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของอิงอิง แต่ยังเปลี่ยนอนาคตของเธอและคนรุ่นต่อไป ในอนาคต เมื่ออิงอิงเรียนจบและมีคุณสมบัติครบตามกฎหมาย เธอจะสามารถยื่นขอพิสูจน์สัญชาติไทยได้ และที่สำคัญ ลูกของเธอในอนาคตจะไม่ต้องเผชิญภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติเหมือนที่เธอเคยผ่านมา
การสร้างโอกาสที่ยั่งยืน
เรื่องราวของอิงอิงเป็นเพียงหนึ่งในหลายชีวิตที่ได้รับประโยชน์จากการทำงานของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ซึ่งมุ่งพัฒนา สถานะบุคคลและสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ ให้สามารถใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี และเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา การรักษาพยาบาล และอนาคตที่ดีกว่า
เพราะ ‘ทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะฝัน และมีโอกาสที่จะทำฝันนั้นให้เป็นจริง’ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ร่วมสร้างอนาคตที่เท่าเทียมให้เด็กทุกคน ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน หรือมีสถานะทางกฎหมายแบบใดก็ตาม
“อย่าท้อนะคะ ถึงมันจะเหนื่อยและซับซ้อน แต่ยังมีหน่วยงานและผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะช่วยเหลือเรา ขอแค่เราสู้ต่อไป โอกาสยังมีเสมอค่ะ” อิงอิง ฝากให้กำลังใจพร้อมรอยยิ้ม


