เมื่อ ‘การให้’ กลายเป็นพลังเปลี่ยนแปลงครอบครัวเปราะบางยากไร้

มูลนิธิศุภนิมิตฯ จัดแคมเปญ ‘เติมชีวิตด้วยการให้ แบ่งปันน้ำใจ สร้างรอยยิ้มให้ชุมชน’ สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้เด็กเปราะบางยากไร้

ของขวัญแต่ละชิ้นที่มอบให้ไม่ใช่แค่สิ่งของธรรมดา แต่เป็น ‘เครื่องมือต่อสู้กับความยากจน’ ไม่ว่าจะเป็นอาหารและน้ำสะอาดเพื่อโภชนาการ การศึกษาเพื่อเปิดโลกใหม่ หรืออาชีพเพื่อสร้างรายได้ให้ครอบครัว ทุกอย่างออกแบบมาเพื่อให้ทั้งเด็กและชุมชนสามารถพึ่งตนเองได้

แล้วของขวัญเหล่านี้สร้างการเปลี่ยนแปลงจริงหรือไม่? มาฟังเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงจาก ป้าน้อย หนูพา จากจังหวัดร้อยเอ็ด ที่ชีวิตทั้งครอบครัวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเพียงเพราะ ‘ไก่พันธุ์ไข่’

“อาหารการกินค่อนข้างขาดแคลนค่ะ บางวันก็ไม่ได้กิน” ป้าหนูพา หรือที่ทุกคนเรียกว่า ‘ป้าน้อย’ เล่าถึงวันวานที่ผ่านมาด้วยน้ำเสียงเศร้า ชีวิตของหญิงวัย 55 ปีที่ทำงานเป็นเกษตรกรและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ไม่เคยจะง่ายดาย

ในบ้านหลังเล็กของป้าน้อยมีสมาชิกอยู่ 4 คน ประกอบด้วย ป้าน้อย สามี และหลานชายคือ น้องโชกุน นักเรียนมัธยมปีที่ 2 และน้องชินจัง นักเรียนประถมปีที่ 5 “พ่อแม่หลานแยกทางกันมาหลายปีแล้วค่ะ ตอนนี้ลูกสาวมีสามีใหม่และทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็คอยส่งเงินกลับมา” ป้าน้อยอธิบายถึงสถานการณ์ของครอบครัวที่เธอต้องเป็นทั้งยายและแม่ให้กับหลานทั้งสอง

ย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นแห่งความหวังที่ได้รู้จักกับมูลนิธิศุภนิมิตฯ เป็นครั้งแรก ป้าน้อยเล่าให้ฟังว่า “เริ่มจากที่หลานเข้าไปอยู่ที่ศูนย์เด็กเล็ก แล้วครูที่ศูนย์เด็กแนะนำให้เข้าร่วมโครงการอุปการะเด็กของมูลนิธิศุภนิมิตฯ จากนั้นก็มีการประชุมผู้ปกครอง จึงเริ่มรู้จักและได้รับการสนับสนุนมาตลอด” การพบกับมูลนิธิศุภนิมิตฯ เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้ป้าน้อยได้รับความช่วยเหลือ “ประมาณ 10 ปีแล้วค่ะ ตั้งแต่หลานคนโตยังอยู่ศูนย์เด็กเล็ก”

ความช่วยเหลือในช่วงแรก “มีทั้งอุปกรณ์การเรียน เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า สมุด ดินสอ และการสนับสนุนด้านอาชีพ เช่น ไก่พันธุ์ไข่ เป็ดพันธุ์ไข่ ทำให้ครอบครัวเรามีกิน มีรายได้ค่ะ”

ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจากมูลนิธิศุภนิมิตฯ เป็นของขวัญช่วยเติมเต็มความฝันให้เป็นจริง เมื่อได้ข่าวว่ามูลนิธิศุภนิมิตฯ จะให้ไก่พันธุ์ไข่ ป้าน้อยเล่าว่า “ดีใจมากค่ะ เพราะอยากเลี้ยงไก่มานานแล้ว แต่ไม่มีทุน พอมีโครงการนี้ก็รู้สึกว่าเป็นโอกาสที่ดี” ซึ่งแรงจูงใจหลักของป้าน้อยมาจากความรักที่มีต่อหลานทั้ง 2 “เพราะหลานชอบกินไข่ค่ะ โดยเฉพาะน้องชินจัง เขาจะขอไข่ต้มกินทุกเช้า บางวันขอสองฟองสามฟองเลยค่ะ” สำหรับครอบครัวที่เคย ‘ต้องซื้อไข่กิน’ การมีไข่สดใหม่ได้เก็บทุกวันจึงเป็นความฝันที่ดูห่างไกลมาก

ป้าน้อยเล่าต่อถึงการเริ่มต้นที่ไม่ได้ง่ายนักการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็น “มูลนิธิศุภนิมิตฯ เขาก็จัดอบรมเกี่ยวกับการเลี้ยงไก่ให้ ป้าเองก็หาความรู้เพิ่มเติมสอบถามจากคนที่เคยเลี้ยง เพื่อลดต้นทุนค่าอาหารก็จะมีผักตบชวา ผักไชยา เอามาสับ เอามาคลุกกับอาหารเม็ดเพื่อประหยัดค่าอาหารค่ะ”

การเปลี่ยนแปลงแรกที่เห็นชัดเจน ป้าน้อยเล่าอย่างภูมิใจว่า “ชีวิตดีขึ้นมากค่ะ จากที่เคยต้องซื้อไข่กิน ตอนนี้เลี้ยงเอง กินเอง อยากกินกี่ฟองก็ได้ ไม่ต้องจำกัดเหมือนเมื่อก่อน” การมีไข่สดใหม่กินทุกวันเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่เคยประสบกับความขาดแคลน

ที่น่าภูมิใจมากกว่านั้นคือการที่ป้าน้อยได้ตั้งต้นธุรกิจเล็ก ๆ ของครอบครัวขึ้น จุดเริ่มต้นจากการได้รับไก่พันธุ์ไข่จากมูลนิธิศุภนิมิตฯ แม้ไม่กี่ตัว ป้าน้อยค่อย ๆ เก็บหอบรอมริบเงินที่มี ซื้อไก่พันธุ์ไข่เพิ่ม “ตอนนี้ที่เล้ามีไก่ประมาณ 60 ตัว แล้วค่ะ จากที่ใช้กินในครอบครัว ก็เริ่มขายให้คนในหมู่บ้านค่ะ โดยจะคัดแยกไข่เป็นฟองเล็กและฟองใหญ่ แผงละ 100-120 บาท บางวันได้ 30–50 ฟอง แล้วแต่จำนวนไก่ที่ออกไข่” ไข่ของป้าน้อยเป็นที่ต้องการของตลาดในชุมชนอย่างมาก “มีคนมาต่อคิวสั่งไข่ล่วงหน้า เพราะรู้ว่าไข่ไก่ของเราสดใหม่ เก็บวันต่อวัน ไม่ใช้ยาเร่งอะไรเลี้ยงแบบธรรมชาติ” ป้าน้อยเล่าไปพลางยิ้มไป

มากกว่าการได้อิ่มท้อง มีรายได้เข้ากระเป๋า คือความอิ่มใจที่เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นของหลานชายทั้ง 2 “เมื่อก่อนเสาร์อาทิตย์เด็ก ๆ ก็อยู่บ้านเล่นเกม ไม่ได้ทำอะไร แต่พอมีไก่ให้เลี้ยง เขาก็ตื่นเช้ามาช่วยกันดูแลไก่ เก็บไข่ ล้างไข่ คัดแยกฟองเล็กฟองใหญ่ ช่วยกันหมดเลยค่ะ โชกุนถึงกับบอกว่าอยากเป็นสัตวแพทย์ ส่วนชินจังก็ชอบเลี้ยงสัตว์ทุกชนิดเลยค่ะ”

แม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่จะดีขึ้นมาก แต่ป้าน้อยก็มีความกังวล “ป้ากลัวอยู่อย่างเดียว กลัวว่าผู้อุปการะจะยกเลิก กลัวหลานจะหลุดจากโครงการ เพราะถ้าไม่มีเขา ทั้งครอบครัวป้าลำบากกว่านี้แน่นอน” ก่อนจากกันป้าน้อยเลยขอฝากข้อความถึงผู้อุปการะว่า “ขอบคุณมากเลยค่ะ ถ้าไม่ได้ผู้อุปการะและมูลนิธิศุภนิมิตฯ ช่วย ป้าก็คงต้องซื้อไข่กินเอง ไม่มีทุนจะเลี้ยงไก่แบบนี้แน่นอน มูลนิธิศุภนิมิตฯ เขาช่วยทุกอย่างจริง ๆ ทั้งเรื่องการเรียนของหลาน เสื้อผ้า กระเป๋า สมุด ดินสอ ทุกอย่างเลย ถ้าไม่มีผู้อุปการะและมูลนิธิศุภนิมิตฯ ป้าก็คงลำบากมาก ขอบคุณจากใจจริง ๆ ค่ะ”

เรื่องราวของป้าน้อยเป็นเครื่องยืนยันให้เห็นว่า การช่วยเหลือที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินหรือสิ่งของ แต่อยู่ที่การสร้างโอกาส ไก่พันธุ์ไข่จากมูลนิธิศุภนิมิตฯ ของขวัญจากผู้อุปการะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน ตอกย้ำพลังของการให้ที่แท้จริงที่สร้างทักษะอาชีพ ปลูกฝังคุณค่า และเปิดโอกาสให้ครอบครัวเปราะบางยากไร้สามารถพึ่งตนเองได้ในอนาคต

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ป้ายกำกับ
Child Rights Climate Change CSR Migrant SDG กลุ่มชาติพันธุ์ การจัดการภัยบิบัติ การจัดการภัยพิบัติ การตีตราและเลือกปฏิบัติ การพัฒนาสถานศึกษา การมีส่วนร่วมของเด็ก ครอบครัวสุขสันต์ ความยั่งยืน ความยุติธรรมในสังคม ความยุติธรรมในสังคม (Social Justice) ความรับผิดชอบต่อสังคม ความรุนแรงต่อเด็ก ความเชื่อและการพัฒนา งานรณรงค์เพื่อเด็ก จิตอาสา ทักษะชีวิตเยาวชน ทักษะอาชีพเยาวชน นโยบายการพัฒนาเด็ก น้ำเพื่อชีวิต บริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน บริจาคทุนการศึกษา บริจาคเงิน ปกป้องคุ้มครองเด็ก ประชากรข้ามชาติ ผู้นำเยาวชน พัฒนาชุมชน ภัยพิบัติ ยุติวัณโรค/End TB ยุติเอดส์/Stop AIDS สังคมแห่งการแบ่งปัน สิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก ส่งน้องจบ ป-ตรี อดีตเด็กในความอุปการะ เด็กข้ามชาติ เด็กยากไร้ เด็กไร้รัฐ เสียงเด็กและเยาวชน แรงงานข้ามชาติ/ประชากรข้ามชาติ แรงงานต่างชาติ

ข่าวอื่นๆ

“เกิด…อยากจะให้” ของขวัญวันเกิดจากใจคุณเก๋ ชลลดา 

ส่งมอบ “ห้องแห่งความสุข” ให้เด็ก ๆ บ้านด่านโง “เพราะรอยยิ้มของเด็ก ๆ และทุกคนในวันนี้ คือของขวัญที่ดีที่สุดของเก๋ค่ะ”
อ่านต่อ »
0