เพราะ “บ้าน” ไม่ใช่เพียงสิ่งปลูกสร้าง หากแต่คือศูนย์รวมความรักและความปลอดภัยของครอบครัว ทว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติอย่างอุทกภัยใหญ่ในภาคเหนือเมื่อปลายปี 2567 ได้พรากสิ่งนั้นไปจากครอบครัวเปราะบางหลายสิบครัวเรือน
ในพื้นที่จังหวัดเชียงรายครอบครัวของเด็กเปราะบางหลายสิบครอบครัว ต้องเผชิญกับความเสียหายทั้งทรัพย์สินและจิตใจ หลายหลังคาเรือนไม่สามารถอยู่อาศัยได้อีกต่อไป ต้องอพยพไปอยู่กับญาติหรือในศูนย์พักพิงชั่วคราว ท่ามกลางความไม่แน่นอนในวันข้างหน้า
“มูลนิธิเสริมกล้า ก่อตั้งมาได้ประมาณ 14 ปีแล้ว มูลนิธิฯ มีวิสัยทัศน์ในการช่วยเหลือเด็กและเยาวชน ซึ่งลำพังองค์กรเราเป็นองค์กรขนาดเล็ก เราจึงมองหาองค์กรที่มีความพร้อมทั้งกำลังคน และเครือข่ายหน่วยงานภาครัฐและชุมชน เพื่อทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นเหตุผลที่เราร่วมมือกับมูลนิธิศุภนิมิตฯ ในการให้ความช่วยเหลือ ซึ่งส่วนตัวได้มีโอกาสลงมาเยี่ยมพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2567 ก็เห็นถึงความยากลำบากของพี่น้องทุกคน ซึ่งวันนี้ก็ตั้งใจมาร่วมงานส่งมอบ และร่วมแสดงความยินดีด้วย” คุณรุ่งฤดี สถาพรชัยสิทธิ์ ผู้แทนจากมูลนิธิเสริมกล้า กล่าวถึงที่มาของการดำเนินโครงการฯ และแสดงความยินดี
ยายไหว หนึ่งในผู้ประสบภัยจากอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เล่าเหตุการณ์วันที่น้ำหลากเข้าท่วมบ้านว่า “มันลำบากมากค่ะ น้ำมาเร็วและแรงมาก ตอนนั้นหลานยังอยู่ที่โรงเรียน เราต้องรีบออกไปรับหลานพาหลบที่วัด ส่วนตาเขาก็ป่วยอัมพฤกษ์เคลื่อนย้ายลำบากมากค่ะ”
เมื่อกลับถึงบ้านหลังน้ำลด ภาพเบื้องหน้าคือโคลนหนาท่วมถึงต้นขา ของใช้จำเป็นเสียหายเกือบหมด “จะนอนที่ไหนก็ไม่รู้ เสื้อผ้า ของใช้ ตู้เย็น เครื่องซักผ้าก็เสียหายหมด” ยายไหว เล่าด้วยน้ำเสียงสั่น
แต่ในความทุกข์ก็ยังมีความหวัง เมื่อหลายหน่วยงานเข้ามายื่นมือช่วยเหลือ โดยเฉพาะ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ที่ร่วมมือกับ มูลนิธิเสริมกล้า ดำเนิน“โครงการบ้านเสริมกล้า” เพื่อฟื้นฟูบ้านเรือนให้กลับมาเป็นที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยอีกครั้ง
“ดีใจมากค่ะ ที่มีหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยซ่อมบ้าน ให้ยายกับหลานได้กลับมาอยู่บ้านที่อบอุ่นอีกครั้ง ลูกก็ไม่ต้องห่วงมาก ขอบคุณทุกคนที่ไม่ทอดทิ้งกันค่ะ” ยายไหว กล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งความหวัง
ด้านคุณลลิตา หนึ่งในผู้ประสบภัยดินทรุดดินสไลด์ อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย กล่าวอย่างมุ่งมั่น “แม้บ้านจะพัง แต่เรายังมีความหวัง”
คุณลลิตา เผชิญชะตากรรมบ้านทรุดตัวลงจากฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ครอบครัวต้องอพยพไปอยู่กับญาติ “บ้านหลังนี้แฟนกับเราสร้างด้วยน้ำพักน้ำแรง แค่ 7 ปีเอง แต่กลับอยู่ไม่ได้เลย มันเสียใจมากค่ะ แต่ก็ยังดีที่ยังมีกำลังใจจากคนรอบข้าง และจากการสนับสนุนของมูลนิธิเสริมกล้าและศุภนิมิตฯ ที่เข้ามาช่วยเราฟื้นฟูบ้าน”
ไม่เพียงแต่บ้านของเธอเท่านั้น บ้านของอาของเธอก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน อย่างไรก็ตามความช่วยเหลือจากภาคีเครือข่ายรวมถึงการสนับสนุนระบบประปาชุมชนและถังเก็บน้ำผ่าน “โครงการเอชเอสบีซี ปันน้ำใจ ช่วยฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคเหนือ ปี 2567” ช่วยให้ชุมชนกลับมามีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็นอีกครั้ง
“ขอบคุณมูลนิธิเสริมกล้าและมูลนิธิศุภนิมิตฯ ที่ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูบ้าน แต่ยังฟื้นใจคนในชุมชนให้กลับมามีกำลังใจอีกครั้ง สิ่งเหล่านี้มีค่ามากจริง ๆ ค่ะ” คุณลลิตา กล่าวด้วยความซาบซึ้ง
ดร.วิมลรัตน์ สีสัน ผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการพันธกิจภาคสนาม ภูมิภาคเหนือ-กลาง มูลนิธิศุภนิมิตฯ “วันนี้เราได้มาเยี่ยมครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ และเป็นครอบครัวที่เราช่วยสนับสนุน เราเห็นถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะมูลนิธิเสริมกล้า ที่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนโครงการนี้ให้เกิดขึ้นจริง ขอบคุณทุกความร่วมมือที่นำความสุขกลับคืนสู่ชุมชนอีกครั้ง”
แม้ภัยธรรมชาติจะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ด้วยพลังของความร่วมมือ และหัวใจแห่งการแบ่งปันของคนในสังคม ความทุกข์ก็อาจถูกบรรเทา และความหวังสามารถถูกจุดขึ้นใหม่ได้ ทีละหลังคาเรือน ทีละครอบครัว เพื่อให้คำว่า “บ้าน” กลับมาเป็นที่ปลอดภัยอีกครั้งสำหรับเด็กและครอบครัวเปราะบาง