การพัฒนาระบบการเสริมสร้างศักยภาพชุมชน เพื่อการตอบสนองภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
การจัดการภัยพิบัติในประเทศไทยเป็นภารกิจที่ต้องอาศัยทั้งความรู้เชิงระบบและความเข้าใจบริบทท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผมทำงานด้านนี้ ผมได้เรียนรู้ว่าการตอบสนองภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือฉุกเฉิน แต่คือการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเพื่อให้สามารถฟื้นตัวและพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
ผมจะเกิดที่กรุงเทพฯ แต่บ้านเกิดของครอบครัวอยู่ที่อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ติดแม่น้ำและมีความเสี่ยงต่อภัยน้ำท่วมสูง บ้านไม้โบราณที่ยกพื้นสูงและการเดินทางด้วยเรือในวัยเด็ก ทำให้ผมซึมซับความเข้าใจเรื่องการปรับตัวต่อภัยพิบัติตั้งแต่ยังเล็ก
เส้นทางการศึกษาของผมเริ่มต้นที่โรงเรียนปานะพันธุ์วิทยา ต่อด้วยโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย และโรงเรียนวัดสระเกศ ก่อนจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการทำงานด้านการพัฒนาสังคมและการจัดการเชิงนโยบาย
ผมเริ่มต้นอาชีพจากงานพัฒนาชุมชนใน โครงการพัฒนาชุมชนเป็นพื้นที่อย่างยั่งยืน (Area Development Programme : ADP) ของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ในพื้นที่กรุงเทพฯ จนกระทั่งเกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผมหันมาทำงานด้านการตอบสนองภัยพิบัติอย่างเต็มตัว การได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทำให้ผมตระหนักถึงความจำเป็นในการสร้างระบบการช่วยเหลือที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
แม้ในช่วงแรกผมยังไม่มีประสบการณ์ตรงด้านภัยพิบัติ แต่ผมได้ผ่านการอบรมด้านการดับเพลิงเบื้องต้นและการปฐมพยาบาล ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยและการรับมือเหตุฉุกเฉิน ก่อนจะพัฒนาความรู้สู่การจัดการภัยพิบัติอย่างเป็นระบบเมื่อเข้าร่วมงานกับทีมตอบสนองด้านมนุษย์ธรรมในสถานการณ์ฉุกเฉิน (Humanitarian & Emergency Affairs : HEA) กับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย
ในบทบาทของผู้เชี่ยวชาญงานตอบสนองด้านมนุษยธรรมในสถานการณ์ฉุกเฉิน (HEA Specialist) ผมรับผิดชอบการเก็บข้อมูลและประเมินสถานการณ์ภัยพิบัติในพื้นที่ต่าง ๆ โดยใช้เครื่องมือ DDG (Declaration Decision Group) หรือกลุ่มผู้มีหน้าที่ร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจว่าเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นควรได้รับการประกาศ (Declaration) หรือไม่ โดยอิงจากข้อมูลการประเมินสถานการณ์ที่ได้จากเครื่องมือ CAT (Category Assessment Tool) ซึ่งใช้วัดระดับความรุนแรงของภัยพิบัติในด้านต่าง ๆ เช่น จำนวนผู้ได้รับผลกระทบ ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน และความสามารถในการเข้าถึงความช่วยเหลือ
ในการพิจารณาของ DDG จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเด็กและกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็กที่สูญเสียที่อยู่อาศัย ขาดแคลนอาหาร น้ำดื่มสะอาด หรือไม่สามารถเข้าถึงการศึกษาได้ รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ คนพิการ และครอบครัวยากจนที่มีความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบระยะยาว การให้ความสำคัญกับกลุ่มเหล่านี้ช่วยให้การตอบสนองสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และตรงกับความต้องการเฉพาะของผู้ได้รับผลกระทบ
เพื่อกำหนดระดับความรุนแรง (Category) ของภัยพิบัติและวางแผนตอบสนองอย่างเป็นระบบ ผมทำงานร่วมกับคณะกรรมการจัดการภัยพิบัติของมูลนิธิศุภนิมิตฯ (NDMT) เพื่อพิจารณาแนวทางการช่วยเหลือ และจัดทำรายงานเข้าสู่ระบบรายงานภัยพิบัติของศุภนิมิตสากล (WVRelief) รวมถึงร่วมกับฝ่ายสื่อสารในการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์และระดมทุน
การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของมูลนิธิศุภนิมิตฯ มีจุดเน้นที่ชัดเจนคือการคุ้มครองและฟื้นฟูชีวิตของเด็กและกลุ่มเปราะบาง เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดและมีความสามารถในการฟื้นตัวต่ำที่สุดในสถานการณ์ฉุกเฉิน เด็กคืออนาคตของชุมชน การช่วยให้เด็กได้รับอาหาร น้ำสะอาด การดูแลสุขภาพ และการศึกษาต่อเนื่อง คือการวางรากฐานเพื่อการฟื้นฟูระยะยาวอย่างยั่งยืน
ในขณะเดียวกัน กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้หญิงที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ผู้พิการ หรือผู้สูงอายุ มักเผชิญกับอุปสรรคในการเข้าถึงความช่วยเหลือทั่วไป จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเฉพาะ เช่น การจัดพื้นที่ปลอดภัย การให้คำปรึกษา หรือการสนับสนุนด้านจิตสังคม การออกแบบการช่วยเหลือที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของกลุ่มเหล่านี้ คือจุดเด่นของภารกิจของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ที่มุ่งเน้นความเป็นมนุษย์ ความเท่าเทียม และการฟื้นฟูที่ยั่งยืน
ภารกิจที่ผมมีโอกาสเข้าร่วมครอบคลุมพื้นที่หลากหลาย เช่น น้ำท่วมจากพายุยากิในภาคเหนือ การเปิดศูนย์พักพิงที่เชียงราย การแจกสิ่งของบรรเทาทุกข์ การซ่อมแซมโรงเรียน และการสนับสนุนทุนครอบครัว รวมถึงเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา และสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยมีผู้ได้รับความช่วยเหลือโดยตรงกว่า 10,000 คน ซึ่งจากการติดตามผลพบว่า 70–80% ของครอบครัวสามารถกลับสู่ชีวิตปกติภายใน 3 เดือน
มูลนิธิศุภนิมิตฯ ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมเชิงรุก โดยมีการประเมินความเสี่ยงล่วงหน้า จัดทำแผนตอบสนองภัยพิบัติ และเตรียมทรัพยากรที่จำเป็น เช่น ชุดยังชีพ อุปกรณ์การเรียน และสื่อคุ้มครองเด็ก พร้อมศูนย์พักพิงที่สามารถเปิดใช้งานได้ทันที
การทำงานในสถานการณ์ฉุกเฉินต้องอาศัยการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) อำเภอ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) และหน่วยงานทหารหรือกู้ภัย โดยทั่วไป มูลนิธิฯ จะจัดฝึกอบรมและซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติปีละ 2–3 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมประมาณ 50–100 คนต่อครั้ง เพื่อเสริมความเข้าใจและความชำนาญของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร
ผมยังให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับชุมชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดตั้งทีมอาสาสมัครและฝึกอบรมให้มีทักษะเบื้องต้นในการรับมือภัยพิบัติ ซึ่งช่วยให้ชุมชนสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย
ทุกสถานการณ์ภัยพิบัติถือเป็นความท้าทาย เพราะเราต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอโดยไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น การเข้าถึงพื้นที่บางครั้งก็เป็นเรื่องยาก เช่น หากน้ำท่วมสูง เราอาจต้องประสานกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อให้เข้าช่วยเหลือ เนื่องจากไม่มียานพาหนะที่สามารถลุยน้ำได้ นอกจากนี้ การลงพื้นที่บางครั้งต้องอยู่ระยะยาวมากกว่าที่วางแผน เช่น เตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ไว้ 3 วัน แต่กลับต้องอยู่เป็นสัปดาห์หรือหลายสัปดาห์ การรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ต้องมี ความยืดหยุ่นสูง การวางแผนสำรอง และการทำงานร่วมกับชุมชนและหน่วยงานต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การตอบสนองเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ในอนาคต ผมเชื่อว่าการตอบสนองภัยพิบัติควรเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนเป็นหลัก โดยส่งเสริมให้ชุมชนมีความสามารถในการประเมินความเสี่ยง วางแผนการรับมือ และจัดการทรัพยากรในพื้นที่ของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการนำเทคโนโลยีและข้อมูลเชิงพื้นที่ เช่น ระบบเตือนภัย และเครื่องมือประเมินความเสี่ยงแบบดิจิทัล มาใช้เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ
การตอบสนองภัยพิบัติอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือฉุกเฉิน แต่คือการสร้างระบบที่ยั่งยืนและเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนให้สามารถฟื้นตัวได้ด้วยตนเอง ประสบการณ์ภาคสนามและการทำงานร่วมกับชุมชนอย่างใกล้ชิดคือหัวใจของการพัฒนาระบบจัดการภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืนในบริบทของประเทศไทย



