เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ร่วมกับ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหภาพยุโรป (EU) ลงพื้นที่การดำเนินงานโครงการ “SAFER Work: เสริมสร้างความรับผิดชอบในการจ้างงานและสรรหาแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย” ณ Bristol Bangkok เพชรเกษม กรุงเทพมหานคร
กิจกรรมครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการประชุม แต่เป็นการลงพื้นที่จริงเพื่อทำความเข้าใจความท้าทายที่แรงงานข้ามชาติกำลังเผชิญ พร้อมเปิดเวทีหารือระหว่างมูลนิธิศุภนิมิตฯ ผู้แทนจากสหภาพยุโรป องค์การแรงงานระหว่างประเทศ และภาคเอกชน โดยบริษัทบริทาเนีย ซึ่งประเด็นสำคัญ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุย ได้แก่ ความท้าทายในการขึ้นทะเบียนแรงงานผ่านระบบ e-Work Permit การลดลงของจำนวนแรงงานจากสถานการณ์ความไม่สงบ และผลกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์จากความไม่มั่นคงและกำลังซื้อที่ลดลง การลงพื้นที่ครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทุกฝ่ายในการร่วมกันหาทางออกที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างระบบการจ้างงานที่โปร่งใส เป็นธรรม และเคารพสิทธิมนุษยชนของแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย
นอกจากนี้ คณะผู้แทนและมูลนิธิศุภนิมิตฯ ยังลงพื้นที่ไซต์งานก่อสร้างเพื่อพบปะและพูดคุยกับแรงงาน รับฟังเสียงจากชีวิตจริง ทั้งสภาพความเป็นอยู่ ปัญหา และความต้องการ พร้อมจัดอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิแรงงานขั้นพื้นฐาน เช่น การทำงานอย่างปลอดภัย ค่าจ้างที่เป็นธรรม การเข้าถึงบริการสุขภาพ รวมกึงการป้องกันและการรายงานเหตุกรณีละเมิดสิทธิ
คุณโอ หนึ่งในแรงงานจาก สปป.ลาว ที่เข้ามาในทำงานในประเทศไทยเป็นเวลา 2 ปีแล้ว กล่าวว่า
“เข้ามาทำงานที่นี่ได้เพราะญาติชวนมาค่ะ มากับแฟน นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนเข้ามาให้ความรู้เกี่ยวกับสิทธิแรงงานค่ะ ก็เลยได้รู้ว่ามีสิทธิที่เราควรได้รับ และมีคนพร้อมช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหา ทำให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้นค่ะ”
เสียงสะท้อนนี้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่แรงงานเพื่อให้พวกเขารู้และเข้าใจสิทธิของตนเอง รวมถึงบทบาทหน้าที่ เพื่อสามารถปกป้องตัวเองจากการถูกแสวงหาประโยชน์ในรูปแบบต่าง ๆ
บทบาทสำคัญของภาคธุรกิจ: โมเดลความร่วมมือที่สร้างการเปลี่ยนแปลง
ความร่วมมือจากภาคธุรกิจคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการ SAFER Work เกิดขึ้นจริง ผ่านการจับมือระหว่าง มูลนิธิศุภนิมิตฯ และ แสนสิริ บริทาเนีย และออริจิ้น การลงพื้นที่ครั้งนี้สะท้อนถึงบทบาทเชิงรุกของภาคเอกชน และเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าธุรกิจสามารถมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนสิทธิแรงงานได้อย่างเป็นรูปธรรม
ที่ผ่านมา กิจกรรมลักษณะนี้มักไม่ค่อยมีภาคธุรกิจเข้าร่วม แต่ครั้งนี้ บริษัททั้งสามได้เปิดพื้นที่ให้ดำเนินกิจกรรมและร่วมมือกันเพื่อส่งเสริมการจ้างงานที่เป็นธรรมและเคารพสิทธิมนุษยชน ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานใหม่ที่ยั่งยืนในภาคแรงงานไทย
คุณธัญญาภรณ์ ผู้จัดการอาวุโสตรวจสอบภายในและบริหารความเสี่ยง จากบริทาเนียกล่าวว่า
“กิจกรรมวันนี้จัดขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่แรงงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานที่ควรได้รับ เช่น การรักษาพยาบาล ชั่วโมงทำงาน และการปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน เพื่อให้ทั้งแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานข้ามชาติ และผู้รับเหมาเข้าใจสิทธิของตนอย่างถูกต้อง เรามุ่งสร้างความตระหนักให้ผู้รับเหมาแจ้งสิทธิแก่แรงงาน เช่น การรักษาพยาบาล ชั่วโมงการทำงานตามกฎหมาย และสิทธิขั้นพื้นฐานอื่น ๆ สิ่งสำคัญคือการสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้รับเหมาก่อน เพราะบางครั้งผู้รับเหมาไม่ได้แจ้งสิทธิให้แรงงานทราบ การอบรมนี้จึงช่วยให้ทั้งแรงงานและผู้รับเหมาปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมาย”
คุณธัญญาภรณ์ เน้นย้ำว่า ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงช่วยให้แรงงานได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง แต่ยังสร้างความตื่นตัวในภาคธุรกิจให้เห็นความสำคัญของการจ้างงานที่เป็นธรรม ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งแรงงานและองค์กรในระยะยาว
“จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ ต้องสร้างความตระหนักรู้ให้กับผู้รับเหมาก่อน เพื่อให้เขาปฏิบัติได้ถูกต้องตามกฎหมาย และแรงงานเองก็ได้รับสิทธิอย่างครบถ้วน เราอยากเห็นโครงการนี้ดำเนินต่อไป เพราะสิ่งที่แรงงานได้รับสามารถนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน”
คุณภาพชีวิตแรงงาน: ความร่วมมือคือกุญแจสำคัญ
โครงการ SAFER Work ไม่เพียงสร้างความรู้และความตระหนัก แต่ยังชี้ให้เห็นความจริงที่สำคัญว่า คุณภาพชีวิตของแรงงานข้ามชาติขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะนายจ้าง เมื่อภาคธุรกิจสนับสนุนและปฏิบัติตามกฎหมาย แรงงานจะเข้าถึงสิทธิสำคัญ เช่น ประกันสังคม ที่แรงงานไม่สามารถประกันตนเองได้ ต้องอาศัยการจ่ายสมทบจากนายจ้างเท่านั้น การมีนายจ้างที่รับผิดชอบจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความมั่นคงและชีวิตที่ดีให้แรงงาน นี่คือความท้าทายที่ทำให้การทำงานด้านสิทธิแรงงานต้องอาศัย ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันผลักดันการจ้างงานที่เป็นธรรมและเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างแท้จริง
โครงการ SAFER Work ดำเนินงานใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม และชลบุรี ด้วยงบประมาณกว่า 3.25 ล้านบาท (ประมาณ 97,895 ดอลลาร์สหรัฐ) จากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ภายใต้การสนับสนุนจากสหภาพยุโรป (EU) ครอบคลุมระยะเวลา 12 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 ถึงมิถุนายน 2569 โดยมีพันธมิตรสำคัญจากภาคเอกชน ได้แก่ แสนสิริ ออริจิ้น และบริทาเนีย ร่วมผลักดันมาตรฐานแรงงานที่เป็นธรรมและยั่งยืน
ในช่วงเดือนมิถุนายน – ตุลาคม 2568 โครงการ SAFER Work เข้าถึงแรงงานข้ามชาติแล้วกว่า 478 คน เพื่อให้ความรู้ พร้อมทั้งพัฒนาอาสาสมัครแรงงานข้ามชาติ 15 คน ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลสำคัญในภาษาต้นทางของแรงงาน ครอบคลุมเรื่อง สิทธิแรงงาน สิทธิเด็ก การป้องกันความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศ อนามัยเจริญพันธุ์ รวมถึง ช่องทางและกลไกการร้องเรียนและส่งต่อกรณีละเมิดสิทธิ
การลงพื้นที่ครั้งนี้สะท้อนถึงความตั้งใจจริงของทุกฝ่ายในการสร้างระบบที่โปร่งใส เป็นธรรม เคารพสิทธิมนุษยชน และยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานข้ามชาติ พร้อมทั้งสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับภาคธุรกิจไทยในเวทีโลก นี่คือก้าวสำคัญที่พิสูจน์ว่า
เมื่อทุกฝ่ายร่วมมือกัน การจ้างงานที่เป็นธรรมเกิดขึ้นได้จริง โครงการ SAFER Work ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนเพื่อเปลี่ยนชีวิตแรงงานและยกระดับมาตรฐานธุรกิจไทยไปพร้อมกัน เพราะอนาคตที่ดีกว่าเริ่มต้นจากความร่วมมือของเรา


