
พันธกิจเพื่อเด็กที่เปราะบางที่สุด : บทบาทของมูลนิธิศุภนิมิตฯ เพื่อการพัฒนาเด็กในพื้นที่ห่างไกล
ผมชื่อ ประสงค์ ศรีพิทักษ์ดำรง หรือที่เพื่อนร่วมงานเรียกขานกันว่า “ไนซ์” เส้นทางการทำงานของผมกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ คือ สมุดเล่มหนึ่งที่มีข้อความจากพระคัมภีร์ว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กิจการ 20:35) ข้อความดังกล่าวฝังแน่นอยู่ในใจผมตั้งแต่แรกเห็น และได้เปลี่ยนมาเป็นหลักคิด แรงผลักดัน ทั้งในการใช้ชีวิตและการทำงานเพื่อผู้อื่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผมเติบโตมาในจังหวัดชนบทที่ห่างไกล ภายใต้การอุปถัมภ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ผ่านระบบการศึกษาแบบสงเคราะห์ ซึ่งสิ่งนั้นช่วยหล่อหลอมให้ผมเห็นคุณค่าของ “การได้รับ” ซึ่งนำไปสู่ความตั้งใจที่จะ “ให้คืน” สู่สังคมในภายหลัง
จากจุดเริ่มต้นนั้น วันนี้ผมได้อยู่บนเส้นทางการทำงานพัฒนาในพื้นที่ชายแดนสามอำเภอของจังหวัดตาก โดยรับบทบาทเป็นผู้จัดการโครงการพัฒนากลุ่มจังหวัดตาก (Programe Manager: PM) ภายใต้การดำเนินงานของมูลนิธิศุภนิมิตฯ
แรงบันดาลใจจาก “การให้”: จุดเริ่มต้นสู่พันธกิจเพื่อชีวิตอยู่ดีมีสุข
ก่อนหน้าที่จะรู้จักมูลนิธิศุภนิมิตฯ ผมไม่เคยทราบชื่อหรือพันธกิจขององค์กรนี้มาก่อน จนวันหนึ่ง ขณะผมยังเป็นนักศึกษา ผมได้เห็นสมุดเล่มหนึ่งในร้านอาหาร มีข้อความจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่กล่าวถึง “การให้” สมุดเล่มนั้นได้จุดประกายความคิดบางอย่างในจิตใจของผมอย่างลึกซึ้ง
ไม่นานหลังจากนั้นโอกาสก็มาถึง เมื่อผมได้รับคำแนะนำจากเพื่อนให้สมัครเข้าทำงานกับมูลนิธิศุภนิมิตฯ ด้วยความตั้งใจที่ตนเองเคยเป็นผู้ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 6 ผมจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า “การได้รับ” มีความหมายเพียงใด ซึ่งนั่นเป็นแรงผลักดันสำคัญสู่การอุทิศตนเพื่อ “การให้คืน”
ผมเริ่มต้นการทำงานกับมูลนิธิศุภนิมิตฯ จากตำแหน่งเจ้าหน้าที่ผู้เอื้อกระบวนการพัฒนาชุมชน ในจังหวัดลำปาง เมื่อ พ.ศ. 2549 จากนั้นได้ย้ายกลับมาที่อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน และต่อเนื่องมายังอำเภอท่าสองยาง อำเภอแม่ระมาด และอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก รวมระยะเวลาการทำงานในมูลนิธิศุภนิมิตฯ กว่า 19 ปี
ตลอดเส้นทางการทำงาน ผมถูกถามอยู่เสมอว่า “ทำไมจึงยังเลือกทำงานนี้อยู่” ซึ่งคำตอบของผมคือ เด็กและชุมชนชายขอบยังคงที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ สำหรับมูลนิธิศุภนิมิตฯ เด็กและครอบครัวเหล่านั้น “ไม่เคยถูกลืม” เพราะเรายึดถือว่า สิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ที่เขาอยู่ หากแต่อยู่ที่ความเป็นมนุษย์ของเขา
อีกหนึ่งแรงจูงใจสำคัญคือ รอยยิ้มของผู้คนในชุมชน รวมไปถึงน้ำใจจากของฝากเล็ก ๆ เช่น พริก ผักหรือคำขอบคุณจากใจ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ที่หล่อเลี้ยงหัวใจ และคอยย้ำเตือนว่า “ทุกความพยายามไม่สูญเปล่า”
นอกจากนี้ วัฒนธรรมองค์กรของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ที่มีรากฐานมาจากคำสอนขององค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งได้สะท้อนผ่าน คุณธรรมหลักขององค์กร (Core Values) ที่กล่าวว่า เราเป็นคริสตชน เราจรรโลงคุณค่าของคน เรามีฉันทะภาระ เรามีภาระต่อคนอยากไร้ขัดสน เราเป็นผู้จัดการที่ดี และ เราพร้อมที่จะตอบสนอง ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เสริมความมั่นคงในใจ เพราะผมเองก็เติบโตมาพร้อมกับแนวคิด เรื่องความรัก ความเมตตา และการรับใช้เพื่อนมนุษย์ ผมจึงรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับแนวทางของมูลนิธิศุภนิมิตฯ อย่างแท้จริง
ความท้าทายในพื้นที่ห่างไกล: บริบทที่ต้องเข้าใจและเคารพ
การทำงานพัฒนาในพื้นที่ห่างไกล ไม่ได้หมายถึงเพียงการฝ่าฟันเส้นทางคดเคี้ยวหรือการเดินทางที่ยากลำบากเท่านั้น หากแต่เป็นการเผชิญกับบริบทที่ซับซ้อนหลายมิติ ซึ่งต้องอาศัยทั้งความเข้าใจที่ลึกซึ้งและความเคารพต่อความแตกต่างอย่างแท้จริง
ในบางพื้นที่ การสื่อสารยังเป็นข้อจำกัด ด้วยอยู่นอกพื้นที่ให้บริการโทรศัพท์ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารขั้นพื้นฐาน ขณะที่ถนนหลายสายอาจถูกตัดขาดในช่วงฤดูฝนจากน้ำป่าไหลหลาก ทำให้การเข้าถึงและการให้ความช่วยเหลือดำเนินไปอย่างล่าช้าและลำบาก
อีกด้านหนึ่ง ประชากรส่วนใหญ่ในพื้นที่ชายขอบมักเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษา วัฒนธรรม และวิถีชีวิตเฉพาะถิ่น และแม้จะมีภูมิปัญญาท้องถิ่นอันลึกซึ้ง แต่บางเรื่องยังเป็นสิ่งที่ควรได้รับการพัฒนา เช่น เรื่องโภชนาการและสุขอนามัย ซึ่งต้องใช้เวลาในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสร้างความเข้าใจร่วมกัน ไม่เพียงเท่านั้น ข้อจำกัดด้านกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในการใช้ที่ดินทำกิน และการอยู่อาศัยในเขตพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ส่งผลต่อชีวิตของชาวบ้าน แม้ชุมชนจะมิได้ปฏิเสธการพัฒนา แต่การยอมรับในแนวทางใหม่ ๆ ต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวัง ภายใต้กระบวนการที่ให้เกียรติในภูมิปัญญาและวิถีการใช้ชีวิตแบบเดิมของเขา
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า พื้นที่ห่างไกลไม่ใช่เพียง “จุดที่เข้าถึงยาก” แต่เป็นภูมิทัศน์ของความหลากหลาย ที่ต้องการการทำงานแบบบูรณาการ เข้าใจ และรับฟังอย่างลึกซึ้ง การพัฒนาในพื้นที่เหล่านี้จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการ “เข้าไปเปลี่ยน” แต่ต้องอาศัยการ “เดินเคียงข้าง” เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนร่วมกัน
บทบาทของผู้จัดการโครงการ: ความศรัทธาในงานและการเป็นแบบอย่าง
ในฐานะผู้จัดการโครงการฯ หน้าที่สำคัญของผมคือการผลักดันให้ทีมทำงานบนพื้นฐานของนโยบาย การสร้างความเข้มแข็งให้ทีม และการลงพื้นที่จริงเพื่อเป็นแบบอย่าง เพราะผมเชื่อว่าหากคนในทีมมีความสุขและศรัทธาในงาน ความสำเร็จจะตามมา
การทำงานด้านอุปการะเด็ก ไม่ใช่เพียงการช่วยเหลือในเชิงสงเคราะห์ แต่คือช่องทางในการเข้าถึงชุมชน เพื่อพัฒนาแนวคิด เสริมทักษะ และสร้างความร่วมมือในทุกระดับ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เด็กกลุ่มเปราะบางยากไร้ ในพื้นที่จังหวัดตากมีอัตราสูงถึง 98% ยิ่งตอกย้ำว่าการทำงานเชิงโครงสร้างในพื้นที่เหล่านี้ยังคงมีความสำคัญยิ่ง
ในช่วงเวลาที่เหนื่อยล้าหรือรู้สึกท้อถอย คำสอนของแม่ชีเทเรซา ที่ว่า “จงทำดี แม้ไม่มีใครเห็น เพราะนั่นคือเรื่องระหว่างเธอกับพระเจ้า ไม่ใช่ระหว่างเธอกับผู้อื่น” เป็นกำลังใจ และเป็นพลังให้ผมก้าวเดินต่ออย่างมั่นคง
เสียงของชาวบ้านที่กล่าวว่า “มีแค่มูลนิธิศุภนิมิตฯ ที่มาหาเรา” คือถ้อยคำที่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำ เช่นเดียวกับความเปลี่ยนแปลงของครอบครัวของเด็กในความอุปการะครอบครัวหนึ่ง ที่เคยได้รับการสนับสนุนแม่พันธุ์วัวจากโครงการส่งเสริมอาชีพ จนวันนี้เขาสามารถขยายพันธุ์และต่อยอดมีรายได้เพียงพอ และสามารถส่งเสียลูกเรียนจนจบมหาวิทยาลัย
ของฝากธรรมดา เช่น ผัก ผลไม้ หรือถุงย่ามจากชาวบ้าน ล้วนเป็นเครื่องหมายของความไว้ใจ ความรัก และความผูกพันอย่างแท้จริง ซึ่งความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้ตั้งอยู่บนตำแหน่งหรือหน้าที่ หากแต่เกิดจากความจริงใจ และการอยู่เคียงข้างกันในทุกสถานการณ์ แม้วันหนึ่งอาจไม่มีโอกาสทำงานในตำแหน่งนี้อีก ความสัมพันธ์นั้นก็จะยังคงอยู่ เพราะเป็นความเชื่อมโยงของหัวใจ ไม่ใช่เพียงหน้าที่ในงาน
เป้าหมายในอนาคต: สานต่อพันธกิจด้วยหัวใจและความยั่งยืน
ผมตั้งใจที่จะสานต่อพันธกิจนี้ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทีมงานให้เข้มแข็ง ทั้งในด้านทักษะที่จำเป็นในการทำงานและด้านจิตวิญญาณในการรับใช้ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่หยั่งรากในชีวิตของเด็ก ครอบครัว และชุมชน ไม่ใช่เพียงความสำเร็จเชิงตัวเลข
ผมยังมุ่งหวังให้สังคมตระหนักถึงบทบาทขององค์กรและคุณค่าของงานที่มูลนิธิศุภนิมิตฯ ทำมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ความช่วยเหลือเข้าถึงผู้ที่ยังถูกทอดทิ้งอยู่ในเงามืดของสังคม
เพราะการพัฒนาที่แท้จริง มิได้หมายถึงการอยู่กับชุมชนตลอดไป หากแต่คือการเตรียมชุมชนให้พร้อมยืนหยัดอย่างมีศักดิ์ศรี และก้าวเดินต่อไปได้ด้วยตนเอง
จากสมุดที่มีข้อความจากพระคัมภีร์ สู่การทำงานพัฒนาในพื้นที่ชายแดน เส้นทางนี้แม้อาจยาวไกลและเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ทุกย่างก้าวล้วนมีความหมาย เพราะเป้าหมายของเราคือการเข้าถึง “เด็กที่เปราะบางที่สุด”
ตราบใดที่ยังมีเด็กอีกคนหนึ่งรอคอยความหวัง การเดินทางของเรายังไม่สิ้นสุด — เพราะการช่วยเหลือที่ยั่งยืน ไม่ใช่การสร้างการพึ่งพา แต่คือการสร้างพลังให้เขาเดินต่อไปได้ด้วยตนเอง