แรงงานข้ามชาติที่ไม่ได้เป็นเพียง “ผู้ทำงานแทน” แต่คือผู้มีความสามารถ มีศักยภาพ และมีความฝันเช่นเดียวกับเรา พวกเขาคือพลังเงียบที่ผลักดันให้เศรษฐกิจไทยก้าวเดินต่อไป
ข้อมูลจากสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน ในเดือนเมษายน 2025 ระบุว่า ประเทศไทยมีแรงงานข้ามชาติที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องกว่า 4.4 ล้านคน โดยส่วนใหญ่มาจากเมียนมา กัมพูชา เวียดนาม และลาว หากนับรวมกับแรงงานที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ซึ่งคาดว่ามีอีก 1-2 ล้านคน แรงงานข้ามชาติจะคิดเป็นสัดส่วนถึง 14-15% ของแรงงานทั้งหมดในประเทศ พวกเขาทำงานในภาคเศรษฐกิจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้าง อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร เกษตรกรรม และประมง ซึ่งล้วนเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจไทย
เพื่อให้เข้าใจปัญหานี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมด้วยภาคีเครือข่าย ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเวทีประวัติศาสตร์ภายใต้ชื่อ “Voice of the Voiceless: รวมพลังหุ้นส่วนสุขภาวะ ก้าวไปด้วยกันอย่างเท่าเทียม” เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2025 เพื่อเปิดพื้นที่ให้แรงงานข้ามชาติได้บอกเล่าประสบการณ์และความท้าทายจากการทำงานในประเทศไทย พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง ข้อคิดเห็น และแนวทางการขับเคลื่อนร่วมกัน ผ่านเวทีย่อยในหัวข้อ: “แล้วใครจะทำงาน (3) ดี ถ้าไม่มีประชากรข้ามชาติ?”
เราไปร่วมฟังเสียงแรกที่ได้ยินมาจากคุณเหมียว หญิงสาววัย 32 ปีจากเมียนมา เธอเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความหมาย “ฉันไม่ได้เลือกงาน เพราะไม่ได้มีโอกาสมาก แค่ได้งานที่สุจริตก็เพียงพอแล้ว” ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธอทำงานหลายอย่าง ตั้งแต่เป็นพนักงานในร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านขนมไทย ร้านลูกชิ้นปิ้งย่าง ร้านกาแฟ จนถึงโรงแรม ทุกอย่างที่เธอทำมีจุดประสงค์เดียว คือหาเงินส่งกลับไปดูแลครอบครัวที่บ้าน
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะมาแย่งอาชีพคนไทยเลย” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง “เพียงแค่อยากทำงานหาเลี้ยงครอบครัว งานที่หนักและใช้เวลาเยอะ งานที่คนส่วนใหญ่คงไม่อยากทำ แต่เราก็ทำได้ ไม่อยากขออะไรมาก ขอแค่ความเข้าใจในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ขอแค่สิทธิขั้นพื้นฐาน” คือสิ่งที่เธอสะท้อนปนร้องขอต่อหน้าคนนับร้อยในห้องประชุม
เสียงที่สองมาจากคุณวิทย์ ชายกัมพูชาที่ทำงานเก็บขยะในตลาดแห่งหนึ่งมาตั้งแต่ปี 2011 เขาเล่าว่า “ผมเข้ามาไทยเพราะที่บ้านไม่มีงานให้ทำ แม้งานจะเหนื่อยมาก แต่ผมก็ยังอยากอยู่ที่นี่ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ แต่คนที่นี่ให้ทั้งโอกาส ความมั่นคง และความรู้สึกว่าผมมีที่ยืน” เขาไม่เคยคิดจะไปทำงานที่อื่น เพราะที่นี่ปลอดภัยและดูแลเขาเหมือนคนในครอบครัว
คุณวิทย์เป็นอีกคนที่ไม่ต่างจากทุกคนทั่วไปที่ทำงานเพื่อเลี้ยงดูตนเองและครอบครัว “ผมในฐานะแรงงานข้ามชาติ ก็อยากจะพูดว่างานที่พวกเราทำ หลายคนอาจจะไม่อยากทำ แต่นี่แหละคือชีวิตของพวกเรา ผมขอขอบคุณทุกท่านที่มองพวกเราด้วยความเข้าใจและให้โอกาสผมได้มาอยู่ที่นี่ ผมก็เป็นพ่อ เป็นลูก เป็นคนที่ทำงานหนักเพื่อครอบครัวเหมือนกับทุกคนครับ”
คุณจินตนา ธรรมสุวรรณ ผู้จัดการโครงการด้านสุขภาพประชากรข้ามชาติ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ย้ำว่า “แรงงานข้ามชาติเป็นอีกกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน พวกเขาทำงานที่ยากมาก อันตราย ใช้แรงงาน และต้องเผชิญกับสิ่งสกปรก แต่ยังเป็นกลุ่มเปราะบางที่อาจเข้าไม่ถึงระบบบริการต่าง ๆ”
ในห้องประชุมย่อยนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ร่วมวิเคราะห์ประเด็นสำคัญ อาทิ ผศ.ดร.อดิศร จันทรสุข จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า “เราต้องร่วมกันส่งเสียงออกมาเพื่อให้เกิดความเข้าใจและการรับฟัง ไม่จำเป็นต้องมองโลกแบบขาวดำเสมอไป แต่พื้นที่สีเทาตรงกลางคือพื้นที่สำคัญสำหรับการเรียนรู้และเติบโต เพราะเมื่อไหร่ที่เรามองเห็นมนุษย์ที่มีความเท่าเทียมกับเรา เราจะช่วยกันสร้างสังคมที่มีคุณภาพได้”
รวมถึงคุณกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ และรองประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน มองว่า “ต้องแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ ทำให้ระบบรองรับเรื่องแรงงานข้ามชาติ โดยเริ่มจากการแก้ไขเชิงนโยบายก่อน สร้างโครงสร้างมารองรับ แล้วกฎหมายจะตามมา”
ด้านคุณสุรสักย์ ธไนศวรรยางกูร จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พร้อมด้วยคุณอดิศร เกิดมงคล จาก Migrant Working Group (MWG) และคุณเสถียร ทันพรม จากมูลนิธิเพื่อสิทธิความหลากหลาย (FAIR) ได้ร่วมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับการสร้างหลักประกันสุขภาพครอบคลุมทุกคน ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชากรข้ามชาติ ตลอดจนสถานการณ์ของประชากรข้ามชาติในบริบทของสังคมไทยปัจจุบัน
ด้านคุณฮาร์ลี่ย์ แฮมมิลตัน ผู้จัดการฝ่ายจัดหาและบริหารกองทุนของมูลนิธิศุภนิมิตฯ กล่าวปิดท้ายว่า “ผมหวังว่าสิ่งที่คุยกันในวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายที่เป็นธรรมมากยิ่งขึ้น”
ความจริงที่หลายคนอาจมองข้ามคือ การเคารพสิทธิมนุษยชนของทุกคน รวมถึงประชากรข้ามชาติ ไม่ใช่เรื่องของความเมตตา แต่เป็นหน้าที่ทางจริยธรรมและกฎหมายจากทุกภาคส่วน ในการปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเป็นธรรม เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และไม่ตีตราหรือเลือกปฏิบัติ หลักสิทธิมนุษยชนไม่ใช่อุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ หากแต่เป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ประเทศที่ให้ความเป็นธรรมกับประชากรทุกกลุ่ม ย่อมสร้างสังคมที่สงบ มั่นคง และเป็นธรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุน สร้างความเชื่อมั่นจากประชาคมโลก และลดความขัดแย้งในระยะยาว
ดังนั้น คำถามที่ว่า ‘แล้วใครจะทำงานดี ถ้าไม่มีประชากรข้ามชาติ’ จึงไม่ใช่แค่คำถามเชิงเศรษฐกิจ แต่เป็นคำถามที่ชวนให้เราหันกลับมาทบทวนว่า เราพร้อมหรือยังที่จะยอมรับความหลากหลายและปฏิบัติต่อกันด้วยความเคารพและเป็นธรรม เพราะในท้ายที่สุด การพัฒนาประเทศที่แท้จริง ย่อมเริ่มต้นจากการพัฒนาจิตใจและมุมมองของเราให้เห็นคุณค่าความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมาจากที่ใดก็ตาม


