ขับเคลื่อนการดำเนินงานยุติวัณโรคและเอดส์ในชุมชนประชากรข้ามชาติจังหวัดระนอง

มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย เข้าร่วมการประชุมเครือข่ายสาธารณสุขชายแดนไทย–เมียนมา เพื่อหารือแนวทางการดูแลและพัฒนาสุขภาพของประชากรข้ามชาติในพื้นที่จังหวัดระนอง

ระหว่างวันที่ 17–18 กันยายน 2568 มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมการประชุมเครือข่ายสาธารณสุขชายแดนระดับจังหวัด ระหว่างจังหวัดระนอง ประเทศไทย และจังหวัดเกาะสอง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา การประชุมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างสองประเทศ โดยมีนายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เป็นประธานเปิดการประชุมและกล่าวต้อนรับผู้แทนจากทั้งสองประเทศ การประชุมครั้งนี้มีผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาสังคมกว่า 60 คนเข้าร่วม โดยมีนายแพทย์นรเทพ อัศวพัชระ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระนอง และ Dr. G Sen Taung ผู้อำนวยการกรมสาธารณสุขภูมิภาคตะนาวศรี สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ร่วมเป็นประธานการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและแนวทางความร่วมมือในการพัฒนาระบบสุขภาพของประชากรในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน

การประชุมเริ่มต้นด้วยการเยี่ยมชมและแลกเปลี่ยนเรียนรู้การให้บริการสุขภาพแก่ประชากรข้ามชาติ ณ โรงพยาบาลระนอง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลปากคลอง จากนั้นจึงเข้าสู่การประชุมแลกเปลี่ยนผลการดำเนินงาน แนวทางการดำเนินงาน ข้อท้าทาย ปัญหาและอุปสรรคที่พบ ตลอดจนร่วมกันหารือแนวทางพัฒนาระบบส่งต่อผู้ป่วยระหว่างประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยมูลนิธิศุภนิมิตฯ นำโดย น.พ.เนียน วิน เพียว ผู้จัดการโครงการกลุ่มประชากรข้ามชาติ ภายใต้โครงการยุติปัญหาวัณโรคและเอดส์ด้วยชุดบริการ RRTTPR ปี 2567-2569 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนโลก (Global Fund) ได้เข้าร่วมการประชุมพร้อมทีมเจ้าหน้าที่ภาคสนาม เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนผลการดำเนินงาน และหารือแนวทางการสนับสนุนการดำเนินงานในระดับจังหวัดอย่างเป็นระบบและมีส่วนร่วม

หนึ่งในประเด็นสำคัญของการประชุม คือ บทบาทของภาคประชาสังคม โดยเฉพาะมูลนิธิศุภนิมิตฯ จังหวัดระนอง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านสุขภาพของประชากรข้ามชาติรวมถึงการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดน ภายใต้หลักการดำเนินงาน RRTTPR ได้แก่ การเข้าถึง (Reach) การนำพา/ส่งต่อ (Recruit) การตรวจวินิจฉัย (Test) การรักษา (Treatment) การป้องกัน (Prevention) และการคงอยู่ในระบบ (Retain) ทั้งนี้ การดำเนินงานของมูลนิธิศุภนิมิตฯ สอดคล้องกับเป้าหมาย 3.3 ชองการพัฒนาที่ยั่งยืน ที่มุ่งยุติการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ วัณโรค มาลาเรีย และโรคติดต่ออื่น ๆ ภายในปี 2573 โดยในที่ประชุม มูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้ร่วมเสนอผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ปัญหาอุปสรรคที่พบ และแนวทางการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรม เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในการพัฒนาระบบสาธารณสุขชายแดนอย่างยั่งยืน แบ่งออกเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้

  1. การเสริมสร้างศักยภาพ (Capacity Building): มูลนิธิศุภนิมิตฯ ดำเนินการพัฒนาอาสาสมัครสาธารณสุขต่างชาติ (อสต.) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงานด้านสุขภาพชุมชน ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมโยงระหว่างประชากรข้ามชาติและหน่วยบริการสุขภาพ ส่งเสริมให้ประชากรกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงการดูแลรักษาและบริการสุขภาพอย่างต่อเนื่อง
  2. การรณรงค์และการประสานความร่วมมือ (Advocacy & Coordination): ดำเนินการสร้างความร่วมมือกับผู้นำชุมชนและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการทำงานของอาสาสมัครสาธารณสุขต่างชาติ (อสต.) ตลอดจนส่งเสริมการดูแลและติดตามผู้ป่วยร่วมกันในระดับชุมชน เพื่อให้การดำเนินงานด้านสุขภาพเกิดผลอย่างยั่งยืน
  3. การส่งต่อผู้ป่วยเพื่อรับบริการรักษาและตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ (Referral for Treatment & Lab): ร่วมมือกับหน่วยงานสาธารณสุขในจังหวัดระนองในการส่งต่อผู้ป่วยข้ามชาติให้ได้รับบริการรักษาและตรวจวินิจฉัยอย่างครบวงจร โดยให้ความสำคัญกับแนวคิดการดูแลที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง พร้อมทั้งขยายผลสู่การพัฒนาระบบส่งต่อระหว่างจังหวัดระนองและจังหวัดเกาะสอง เพื่อยกระดับคุณภาพการบริการสุขภาพชายแดนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
  4. การเป็นพันธมิตร (Partnership): ดำเนินความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อเสริมสร้างระบบการส่งต่อผู้ป่วยระหว่างประเทศให้มีความเข้มแข็ง รวมถึงสนับสนุนกิจกรรมการคัดกรองวัณโรค และการใช้เครื่องเอกซเรย์เคลื่อนที่ (Portable X-Ray) สำหรับประชากรข้ามชาติ ซึ่งช่วยเติมเต็มช่องว่างของระบบบริการสุขภาพในพื้นที่ชายแดนและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการของกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ

มูลนิธิศุภนิมิตฯ ให้การสนับสนุนการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดนในจังหวัดระนอง

ตั้งแต่ปี 2555 มูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้ร่วมมือกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระนองและภาคีเครือข่ายในพื้นที่ พัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดนระหว่างจังหวัดระนอง ประเทศไทย และจังหวัดเกาะสอง สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ภายใต้ความร่วมมือรูปแบบ “เมืองคู่แฝด” โดยมีการประชุมร่วมกันทุกไตรมาสเพื่อประสานการดูแลผู้ป่วยข้ามพรมแดน โดยมีการส่งต่อผู้ป่วยเคสแรกเกิดขึ้นในปี 2557 ผ่านการประสานทางอีเมล และต่อมาในเดือนมกราคม 2559 ทั้งสองจังหวัดได้พัฒนาช่องทางการสื่อสารผ่านแอปพลิเคชัน Facebook Messenger เพื่อสนับสนุนการส่งต่อผู้ป่วย ซึ่งช่วยเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการจัดการเคสได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การประชุมประจำต้องหยุดชะงักลงในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในเมียนมา แม้ในระยะหนึ่งจะมีการปรับรูปแบบการประชุมเป็นออนไลน์ แต่ในที่สุดได้ยุติลงอย่างเป็นทางการในปี 2565 กระนั้น กลุ่มแชทใน Facebook Messenger ยังคงถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันเพื่อประสานงานด้านการส่งต่อผู้ป่วยระหว่างโรงพยาบาลระนองและโรงพยาบาลเกาะสอง ในการใช้ช่องทาง Facebook Messenger ถือเป็นเครื่องมือสื่อสารที่เหมาะสมกับบริบทโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตของเมียนมา ซึ่งมีข้อจำกัดในการใช้งานแอปพลิเคชันที่ต้องใช้ความเร็วสูง กลุ่มแชทดังกล่าวประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่มูลนิธิศุภนิมิตฯ และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างชาติ (อสต.) จากทั้งสองประเทศ ทำหน้าที่ร่วมกันในการจัดการและประสานการส่งต่อผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่คณะทำงานจากทั้งสองประเทศได้ร่วมกันสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนเกิดสถานการณ์ทางการเมืองในเมียนมา มีส่วนสำคัญทำให้การส่งต่อผู้ป่วยสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้จะเผชิญข้อจำกัดและความท้าทายหลายประการ โดยในอดีต การส่งต่อผู้ป่วยอย่างเป็นทางการใช้เวลาประมาณสามเดือน แต่ในปัจจุบันสามารถประสานงานผ่านช่องทาง Messenger และจัดการได้ในเวลาอันสั้น แม้ยังคงอยู่ในลักษณะไม่เป็นทางการ

ทั้งนี้ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระนองกล่าวว่า “เราสามารถติดต่อกันได้ผ่าน Messenger และดำเนินการได้เลย หากใช้ช่องทางอย่างเป็นทางการจะใช้เวลานานกว่าสามเดือน การสนับสนุนจากมูลนิธิศุภนิมิตฯ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการคงไว้ซึ่งระบบการส่งต่อผู้ป่วยระหว่างสองเมือง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และความไม่สงบในเมียนมา ซึ่งมูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้ช่วยประสานความร่วมมือกับภาคีฝั่งเมียนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้การดำเนินงานสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง” ดังนั้น การประชุมเครือข่ายสาธารณสุขชายแดนระดับจังหวัดระหว่างจังหวัดระนองและจังหวัดเกาะสอง ที่จัดขึ้นในเดือนกันยายน 2568 จึงถือเป็นการกลับมาจัดประชุมอย่างเป็นทางการอีกครั้ง หลังจากหยุดชะงักไปตั้งแต่ปี 2565 ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นฟูความร่วมมือด้านสาธารณสุขชายแดนให้เข้มแข็งและยั่งยืนยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ช่องทางการประสานงานเพื่อการส่งต่อผู้ป่วยดังกล่าวยังคงมีข้อท้าทายที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และข้อจำกัดของช่องทางการสื่อสารผ่านแอปพลิเคชัน Facebook ซึ่งสามารถเข้าถึงได้เฉพาะคณะทำงานในพื้นที่จังหวัดระนองและจังหวัดเกาะสองเท่านั้น เมื่อมีความจำเป็นต้องส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดนจากจังหวัดอื่นในภาคใต้ เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องประสานผ่านกลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระนอง เพื่อให้ดำเนินกระบวนการส่งต่อผ่านช่องทางดังกล่าว ซึ่งอาจส่งผลต่อความรวดเร็วในการรักษาและการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค

สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดระนองจึงได้เสนอแนวทางให้มีการพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดนที่มีความเข้มแข็งมากขึ้น และสามารถขยายผลการดำเนินงานไปยังจังหวัดอื่น ๆ ได้ โดยไม่จำกัดเฉพาะพื้นที่จังหวัดระนองและเกาะสอง รวมถึงการพัฒนาแบบฟอร์มการส่งต่อที่ครอบคลุมโรคทุกประเภท ไม่เฉพาะโรควัณโรคเท่านั้น เพื่อให้กระบวนการส่งต่อผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ นายสุธน คุ้มเพชร รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระนอง ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการจัดให้มีจุดประสานงานที่ชัดเจนในทั้งสองฝั่งของพรมแดน ตลอดจนการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดนในทุกกรณี ทั้งนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องเดินทางไกลกว่าพื้นที่จังหวัดเกาะสอง จึงจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ประสานงานที่ดูแลด้านความปลอดภัยตลอดกระบวนการเดินทาง นอกจากนี้ นายสุธน ยังได้เสนอให้จัดตั้ง “คณะกรรมการสาธารณสุขข้ามพรมแดน” ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม นายจ้างแรงงานข้ามชาติ และผู้แทนจากรัฐบาลทั้งสองประเทศ เพื่อร่วมกันวิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรค (SWOT Analysis) ของระบบการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดน และพัฒนายุทธศาสตร์ระดับจังหวัดในระยะยาว ทั้งนี้ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดระนองได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ระบบการส่งต่อที่มีประสิทธิภาพควรสร้างสมดุลระหว่างความเป็นระบบที่มีมาตรฐานกลาง เพื่อให้มั่นใจในด้านการคุ้มครองข้อมูลและคุณภาพบริการ กับความยืดหยุ่นในการปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ พร้อมย้ำว่า “แนวทางนี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่สามารถนำไปใช้ได้ทันทีในทุกพื้นที่” จึงจำเป็นต้องออกแบบระบบร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดการใช้งานจริงอย่างเหมาะสมและยั่งยืน สุดท้าย ความร่วมมือ ความเข้าใจ และความไว้วางใจระหว่างหน่วยงานทั้งสองประเทศ ถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการพัฒนาระบบการส่งต่อผู้ป่วยข้ามพรมแดนอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

มูลนิธิศุภนิมิตฯ จังหวัดระนอง ได้ดำเนินการสนับสนุนระบบการส่งต่อผู้ป่วยวัณโรคและผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี/เอดส์ ข้ามพรมแดน ภายใต้โปรแกรม TB/HIV Cross-Border Referral System (THCR)” ซึ่งพัฒนาโดยกรมควบคุมโรค และเริ่มเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2567 ระบบดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเชื่อมโยงการรักษาระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และลดการหลุดออกจากระบบการดูแลรักษาของผู้ป่วย ในการดำเนินงาน มูลนิธิศุภนิมิตฯ จังหวัดระนอง ทำหน้าที่เป็นกลไกกลางในการประสานและจัดทำข้อมูลผู้ป่วยให้เป็นปัจจุบัน เพื่อให้โรงพยาบาลระนองนำเข้าสู่ระบบ THCR ซึ่งเป็นระบบที่จำกัดสิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะหน่วยงานภาครัฐ ข้อมูลที่บันทึกในระบบดังกล่าวได้รับการนำไปใช้เป็นฐานข้อมูลสำคัญในการวางแผนและพัฒนาระบบบริการสุขภาพในระดับประเทศ ทั้งนี้ ในปี 2568 มีผู้ป่วยจำนวนทั้งสิ้น 11 ราย ที่ได้รับการส่งต่อข้ามพรมแดนผ่านระบบ THCR และมีการบันทึกข้อมูลครบถ้วนสมบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างมูลนิธิศุภนิมิตฯ โรงพยาบาลระนอง และภาคีเครือข่ายด้านสาธารณสุขข้ามพรมแดน อันเป็นการสนับสนุนเป้าหมายด้านสาธารณสุขระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี มูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้ดำเนินงานด้านสุขภาพประชากรข้ามชาติในจังหวัดระนองอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่ในบริบทชายแดนที่มีความเฉพาะตัว ความพยายามดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพขององค์กรในการดำเนินงานเชิงพื้นที่อย่างเข้มแข็ง โดยมีจุดแข็งด้านการเสริมสร้างระบบสุขภาพในระดับท้องถิ่น (Local Health System Strengthening) และการเป็นพันธมิตรที่ได้รับความไว้วางใจ (Partner of Choice) จากภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ในปัจจุบัน มูลนิธิศุภนิมิตฯ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อก้าวสู่บทบาท ผู้นำด้านสุขภาพของผู้โยกย้ายถิ่นฐาน (Leadership for Migrant Health) และสนับสนุนการยุติการระบาดของโรคเอดส์และวัณโรคในประเทศไทย ภายใต้กรอบแผนปฏิบัติการยุติปัญหาเอดส์แห่งชาติปี 2566–2569 และแผนปฏิบัติการระดับชาติด้านการต่อต้านวัณโรค ระยะที่ 2 (ปี 2566–2570)

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ป้ายกำกับ
Child Rights Climate Change CSR Migrant SDG กลุ่มชาติพันธุ์ การจัดการภัยบิบัติ การจัดการภัยพิบัติ การตีตราและเลือกปฏิบัติ การพัฒนาสถานศึกษา การมีส่วนร่วมของเด็ก ครอบครัวสุขสันต์ ความยั่งยืน ความยุติธรรมในสังคม ความยุติธรรมในสังคม (Social Justice) ความรับผิดชอบต่อสังคม ความรุนแรงต่อเด็ก ความเชื่อและการพัฒนา งานรณรงค์เพื่อเด็ก จิตอาสา ทักษะชีวิตเยาวชน ทักษะอาชีพเยาวชน นโยบายการพัฒนาเด็ก น้ำเพื่อชีวิต บริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน บริจาคทุนการศึกษา บริจาคเงิน ปกป้องคุ้มครองเด็ก ประชากรข้ามชาติ ผู้นำเยาวชน พัฒนาชุมชน ภัยพิบัติ ยุติวัณโรค/End TB ยุติเอดส์/Stop AIDS สังคมแห่งการแบ่งปัน สิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก ส่งน้องจบ ป-ตรี อดีตเด็กในความอุปการะ เด็กข้ามชาติ เด็กยากไร้ เด็กไร้รัฐ เสียงเด็กและเยาวชน แรงงานข้ามชาติ/ประชากรข้ามชาติ แรงงานต่างชาติ

ข่าวอื่นๆ

0